“กระทรวงอุตฯ-พาณิชย์” เปิดแผนแก้ปัญหาเหล็กแพง ลดผลกระทบต้นทุนก่อสร้าง

"กระทรวงอุตฯ-พาณิชย์" พร้อมด้วยผู้ประกอบการทั้งกลุ่มผู้ใช้-กลุ่มผู้ผลิตเหล็ก หารือแผนแก้ปัญหาราคาที่กระทบต้นทุนของผู้ใช้เหล็ก จ่อทบทวนตัวเลขค่า K ให้สะท้อนกับราคาในตลาด


นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 เม.ย.64 ให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ดูแลปัญหาราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพื่อลดบรรเทาและผลกระทบต่อต้นทุนการประกอบการอุตสาหกรรมที่มีเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อไม่ให้กระทบทั้งอุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการจ้างแรงงานต่อไปนั้น

โดยทางกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์จึงได้ประชุมหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ประกอบการทั้งกลุ่มผู้ใช้ และกลุ่มผู้ผลิตเหล็ก เพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งมีข้อสรุปร่วมกันเรื่องการแก้ปัญหาราคาที่กระทบต้นทุนของผู้ใช้เหล็กเป็นหลัก คือ กลุ่มก่อสร้างที่เสนองานกับหน่วยงานภาครัฐจะมีการพิจารณาทบทวนตัวเลขค่า K หรือ ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างานของงานโครงการภาครัฐระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ทั้งในด้านการสืบราคาจำหน่าย และการกำหนดค่า K ให้สะท้อนกับราคาในตลาดยิ่งขึ้น

รวมทั้งจัดทำ Business Matching ระหว่างผู้ผลิต และผู้ใช้เหล็กเพื่อวางแผนการใช้และการผลิตร่วมกัน และขอความร่วมมือผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเหล็กตรึงราคาและจำหน่ายสินค้าเหล็กในราคาที่สอดคล้องต้นทุนที่แท้จริง โดยกรมการค้าภายในจะติดตามสถานการณ์ต้นทุนการนำเข้าและราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้อุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่อยู่ในแผนการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ตามนโยบาย BCG Economy ของรัฐบาลตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green: BCG Economy)  ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมาย 4 หน่วยงานหลัก ทั้ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้เข้าไปดูแลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กอย่างใกล้ชิด

พร้อมกำชับหน่วยงานกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กเร่งพัฒนาประสิทธิภาพโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“ผู้ผลิตเหล็ก โดยสมาคมเหล็กฯ ยืนยันว่า จากสถานการณ์การผลิตและจำหน่ายเหล็กในประเทศไทยปัจจุบันมีการผลิตประมาณร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตที่สามารถผลิตได้ ปัญหาการขาดแคลนสินค้าเหล็กในประเทศไทยจะไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มเติมจากกลุ่มผู้บริโภคที่หันกลับมาใช้สินค้าเหล็กในประเทศแทนเพื่อลดการนำเข้า สำหรับดัชนีอุตสาหกรรมเหล็ก และเหล็กกล้าขั้นมูลฐานของเดือนมีนาคม 2564ที่ผ่านมามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กเคลือบสังกะสี เหล็กลวด เหล็กรูปพรรณรีดร้อนและเหล็กเส้นกลม เป็นหลัก

โดยได้รับอานิสงส์จากปริมาณเหล็กในตลาดโลกลดลง และเป็นช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น ความต้องการใช้เหล็กของโลกจึงปรับตัวสูงขึ้นไปด้วยทำให้ราคาเหล็กโลกปรับตัวสูงขึ้น ตามกลไกของตลาดโลก” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

 

 

Back to top button