คัด 5 หุ้น! โบรกฯชี้ไตรมาส 2/64 กำไร “นิวไฮ”
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” มีการสำรวจข้อมูลบริษัทจดทะเบียน …
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” มีการสำรวจข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ ประเด็นผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ที่มีทางบริษัทหลักทรัพย์ประเมินไว้ในบทวิเคราะห์ว่าช่วงไตรมาส 2/2564 จะมีบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิสถิติใหม่ (นิวไฮ) ได้อย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้จากผลสำรวจเบื้องต้นจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์พบว่ามี 5 หลักทรัพย์ที่ไตรมาส 2/2564 จะทำกำไรสุทธินิวไฮ ได้แก่ WICE, CHG ,SINGER, IMH และ XO
โดยรายละเอียดผลการประเมินมีดังต่อไปนี้ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE มีมุมมองจาก บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่าแนวโน้มไตรมาส 2/2564 ของ WICE คาดว่าจะมีกำไรทำสถิติใหม่เป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน ต่อจากไตรมาส 1/2564 ที่กำไรสุทธิออกมา 81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.0% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 167.0% จากงวดเดียวกันของปีก่อน พร้อมด้วย GPM ที่ขยายจาก 13.1% ในไตรมาส 4/2563 เป็น 17.1% ในไตรมาส 1/2564 ทำให้กำไรสุทธิดีกว่าคาดของทางฝ่ายวิจัยที่ 22% และยังคิดเป็น 33% ของประมาณการอีกด้วย
ขณะเดียวกันทางผู้บริหาร เปิดเผยว่าทิศทางไตรมาส 2/2564 อุปสงค์ของภาคส่งออกยังแข็งแรง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอินเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ขณะที่อุปทานเรือยังตึงตัวคล้ายไตรมาสก่อน ดังนั้นทำให้ฝ่ายวิจัยคาดอัตรากำไรขั้นต้นของการขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea freight) จะทรงตัวระดับสูง 17.3% (บาก/ลบ) ส่วนอุปทานเครื่องบินดีขึ้นเล็กน้อย บริษัทจึงได้ลดสัดส่วนการใช้ระวางของเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) ลงมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2564 เลยช่วยดึงให้อัตรากำไรขั้นต้นของการขนส่งสินค้าโดยทางอากาศ (Air freight) ดีดตัวขึ้นมาถึง 590% จากไตรมาส 4/2563
นอกจากนี้ประเมินต่อแผนการเติบโต 1-2 ปี นี้ไปในทุกทิศทาง โดยผู้บริหารเผยแผนที่น่าสนใจคือ (1) จะกลับมาให้น้ำหนักการขนส่งเส้นทางสหรัฐมากขึ้น หลังจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้วิธีการขนส่งเข้าสหรัฐเปลี่ยนไป ซึ่งเปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้ประกอบการขาเข้าสหรัฐ โดยผู้บริหารตั้งเป้ารายได้เพิ่มเท่าตัวเป็น 500 ล้านบาทปีนี้ (2) เพิ่มธุรกิจกลุ่มลูกค้าจีนที่ย้ายฐานมาเมืองไทยเป้า 200 ล้านบาท
(3) จัดซื้อตู้คอนเทนเนอร์ให้ครบ 200 ตู้ตามแผน เพื่อดันธุรกิจข้ามพรมแดน (cross boarder) ของ ETL ต่อไป (4) ETL จะเพิ่มเที่ยวตู้ขนส่งแบบ LTL ซึ่งได้มาร์จิ้นสูงมาก จาก 1 ตู้ต่อสัปดาห์ เป็นวันละ 1 ตู้ (5) ผลักดัน ETL จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นในปีหน้า เพื่อ รองรับการเติบโตที่สูงมาก (6) เช่าคลังสินค้าอีก 1 แห่งเพื่อขยายการให้บริการโดยในภาพรวมปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 4.8 พันล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ไม่ต่ำกว่า 6%
ทั้งนี้ปรับประมาณการปี 2564 ขึ้น 18% เป็น 294 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 45.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 110% เป็น 15.6% (โดยวัดจากไตรมาส 1/2564 ทำได้แล้วที่ 17.1%) ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิขยับขึ้นเป็น 6.2% ใกล้เคียงกับเป้าบริษัท ขณะที่ราคาเหมาะสมอิง P/E 20 เท่า ตามเดิม จะได้ราคา เหมาะสมใหม่ที่ 9.00 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 18% จาก 7.60 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG มีมุมมองจาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่าคาดแนวโน้มไตรมาส 2/2564 สามารถทำกำไรสุทธิสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 330-350 ล้านบาท เติบโตทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน โดยในไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ 156 ล้านบาท และไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิ 252 ล้านบาท พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564-2565 เพิ่มขึ้น 9% และเพิ่มขึ้น 6% สะท้อนการปรับรายได้เพิ่มขึ้น และ EBITDA margin ดีขึ้นเป็น 28.4% โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564-2565 จะเติบโตสูง เพิ่มขึ้น 31% และเพิ่มขึ้น 7% ตามลำดับ ซึ่งในปี 2564 ได้อานิสงค์บวกจากโควิด-19, ผลประกอบการของ 2 โรงพยาบาลที่เปิดใหม่ดีขึ้น และมีรายได้จากการบริหารสถานพยาบาลด้วย
ทั้งนี้ CHG เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในแถบตะวันออก โดยมีโรงพยาบาลในเครือ 14 แห่ง โครงสร้างรายได้ในไตรมาส 1/2564 มาจากรายได้คนไข้เงินสด 59%, จากคนไข้ประกันสังคม 32% และจากโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 9% และได้อานิสงค์จากโควิดระบาดระลอกที่ 3 ทำให้รายได้จากการตรวจโควิดเพิ่มขึ้น โดยในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2564 ตรวจโควิดอยู่ที่ 1,000 รายต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 300 รายต่อวันในไตรมาส 1/2564 ส่วนอัตราการใช้เตียง IPD สำหรับผู้ป่วยโควิดและ Hospitel อยู่ที่ 70-80% และ 60% ตามลำดับ (CHG มีเตียง IPD สำหรับผู้ป่วยโควิด 300 เตียง และมี Hospitel 1,500 ห้อง)
อย่างไรก็ตามรายได้ที่ไม่รวมเคสเกี่ยวกับโควิดในช่วงเม.ย.-พ.ค.2564 เติบโตได้จากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน โดยหลักมาจากบริการฉุกเฉิน, แลป และเกี่ยวกับหัวใจ มีรายได้จากการบริหารสถานพยาบาลเข้ามาช่วยเสริม ประกอบด้วย Koh Lan Medical Unit (สัญญา 2 ปี เริ่มตั้งแต่พ.ย.2563) คาดรายได้ 2 ล้านบาทต่อเดือน และ Pattaya City Hospital (สัญญา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ม.ค. 2564) คาดรายได้ 20 ล้านบาทต่อเดือน ผู้บริหารระบุว่ามีโอกาสที่จะปรับสัญญาจากระยะสั้นเป็นระยะยาว และเป็นพันธมิตรกับศูนย์หัวใจสิรินธร โดยมีสัญญา 3 ปี เริ่มตั้งแต่พ.ค.2564 รายได้อยู่ที่ 450 ล้านบาท หรือประมาณ 12.5 ล้านบาทต่อเดือน และทาง CHG มีแผนเปิดศูนย์หัวใจที่สมุทรปราการในไตรมาส 3/2564 โดยให้ราคาพื้นฐาน 4 บาท แนะนำ “ซื้อ”
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มีมุมมองจาก บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่าแนวโน้มในไตรมาส 2/2564 คาดกำไรสุทธิทำสถิติใหม่ไม่ยาก โดยจะเติบโตโดดเด่นราว 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสก่อน, และเพิ่มขึ้น 60% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากธุรกิจเช่าซื้อที่ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เครื่องปรับอากาศ(บ้าน) และตู้แช่ (ร้านค้า) ยังเป็นสินค้าหลักในช่วงหน้าร้อนตามฐานแฟรนไชส์ที่เติบโตเท่าตัวจากปีก่อน เศรษฐกิจระดับท้องถิ่นยังแข็งแรง กว่าเมืองหนุนทั้งนโยบายช่วยเหลือภาครัฐที่ต่ออายุ-แรงงานที่กลับคืนถิ่น-ราคาผลผลิตเกษตร ที่ยืนในระดับสูง บวกต่ออุปสงค์และคุณภาพลูกหนี้ที่ทรงตัวได้
ขณะเดียวกันยังมีธุรกิจจำนำทะเบียน (C4C) พอร์ตสินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อนที่ 4.6 พันล้านบาท ยังปล่อยได้ตามแผน หนี้เสียยังควบคุมได้ใกล้ ไตรมาสก่อน ทำให้ครึ่งแรกของปี 2564 คาดกำไรคิดเป็น 49% ของเป้าหมายยังอยู่ในกรอบที่ประเมินไว้
อีกทั้งธุรกิจ C4C เดินหน้าตามแผน แม้ว่าตลาดจะมีความกังวลต่อธุรกิจจำนำทะเบียนที่ถูกกดดันค่อนข้างมาก แต่ SINGER จะได้รับผลกระทบน้อยกว่ารายอื่น เนื่องจาก 1) นโยบายภาครัฐ เน้นให้ความช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย (B2C) โดยเฉพาะจักรยานยนต์ ซึ่งบริษัทไม่มีฐานลูกค้าประเภทดังกล่าว (2) การลดลงอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันบริษัทคิดดอกเบี้ยเฉลี่ย 15.4% ต่ำกว่าอุตสาหกรรม (18-22%) ทำให้ Downside ที่ปรับลงนั้นจำกัด (3) การแข่งขันจะไม่รุนแรงขึ้นเพราะผู้เล่นในตลาดยังคงเป็นรายเดิมๆ อีกทั้งยังเชื่อว่ามีช่องว่างให้เติบโตของสินเชื่ออีกมาก ด้วยฐานลูกค้าปัจจุบันเพียงหลักพันคัน เทียบกับทั้งตลาดรถกระบะ และรถบรรทุกที่จดทะเบียนมากกว่าล้านคัน ซึ่งสะท้อนบนขนาดพอร์ต C4C มีมูลค่าเพียง 4 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/2564 เทียบกับผู้นำในตลาดที่ 5-6 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 650 ล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 892 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 42% ต่อปีโดยให้ราคาเหมาะสมปี 2564 เท่ากับ 50 บาท/หุ้น อิง P/E เป็น 35 เท่า หรือเทียบ PEG ที่ 0.83 เท่า นอกจากนี้มีปัจจัยบวกรออยู่ในครึ่งปี หลังได้แก่ 1) โอกาสถูกเข้าคำนวณในดัชนี SET100 รอบกลางปี และ 2) ปลดล็อคมูลค่าของ SG Capital (บ.ย่อยที่ถือพอร์ตสินเชื่อ) คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดในปีหน้า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 50 บาท
บริษัท โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ จำกัด (มหาชน) หรือ IMH มีมุมมองจาก บล.ทีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่าคาดแนวโน้มไตรมาส 2/2564 จะมีผลการดำเนินงาน New High ทั้งรายได้และกำไร จากการที่ IMH รับตรวจเชื้อ COVID-19 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 50,000 ราย และจากไตรมาสก่อนหน้าถึงปัจจุบัน สามารถตรวจเชื้อไปได้ แล้ว 41,200 ราย การรับคนไข้ในจำนวน 100 เตียงของโรงพยาบาลประชาพัฒน์เต็ม Capacity 100% จากรับผู้ป่วย COVID-19
ขณะเดียวกันในไตรมาส 2/2564 จะได้รับอานิสงส์จากการรับตรวจภูมิหลังรับวัคซีนป้องกัน COVID-19 โดยที่ ค่าบริการอยู่ที่ 550 บาทต่อครั้ง ซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ไปแล้วจำนวน 1.85 ล้านรายสำหรับโดสแรก และ 9.6 แสนรายสำหรับโดสที่สอง
นอกจากนี้การเติบโตของรายได้จากโรงพยาบาลประชาพัฒน์จะมาจากการรับจำนวนผู้ประกันตน ในระบบประกันสังคมเพิ่ม และมีเป้าหมายที่ 30,000 ราย ประกอบกับการส่งต่อคนไข้ จากกลุ่ม IMH ส่งผลให้มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของ Economy of scale ในการใช้ทรัพยากรในเครือ
โดย IMH มีฐานลูกค้าทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าว และมี Capacity ในการฉีดวัคซีนได้ 200,000 โดสต่อปี และหากได้รับวัคซีนจัดสรรจากรัฐบาลจะสามารถใช้รถ Mobile ออกไปได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่มีการปรับเพิ่มกำไรปี 2564 ขึ้น 9.2% จาก 54 ล้านบาท เป็น 59 ล้านบาท ซึ่งจากการปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น เนื่องจากการรับตรวจเชื้อ COVID-19 มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าการรับตรวจสุขภาพทั่วไป นอกจากนี้ IMH ยังตั้งเป้าที่จะขยายรายได้จากกลุ่มโรงพยาบาลเพิ่ม โดยที่จะเพิ่มจำนวน โรงพยาบาลในเครือ พร้อมทั้งการ Spin Off กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลในอนาคต
ดังนั้นจากผลดังกล่าวข้างต้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 8.00 บาท (เดิม 5.35 บาท) ด้วยวิธี DCF อิง WACC ที่ 7.5% โดยปัจจุบัน IMH เทรดอยู่ที่ P/E ที่ 21 เท่า ยังคงต่ำกว่าเฉลี่ยกลุ่มการแพทย์ แต่มีการเติบโตที่ น่าสนใจ และมี PEG อยู่ที่ 0.17 เท่า
บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO มีมุมมองจาก บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด แนวโน้มไตรมาส 2/2564 จะเห็นกำไรสูงสุดใหม่ จาก Order เต็มไตรมาสเนื่องจากยอดขายพุ่ง
ขณะเดียวกันมีมุมมองเป็นบวก โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ 1) ผู้บริหารตั้งเป้าใหม่กำไรปี 2564 โตเพิ่มขึ้น 30% ถึง เพิ่มขึ้น40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยจากเดิมที่เพิ่มขึ้น 20% ถึงเพิ่มขึ้น 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ทำได้ดีกว่าคาด และเป็นผลจากการขายผลิตภัณฑ์ซอสแบบแพ็คคู่
2) บริษัทยังอยู่ในแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากยอดขายกลุ่มซอส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทมี ยอดขายเติบโต เพิ่มขึ้น 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าอุตสาหกรรมที่โตเพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
3) คาดรายได้ไตรมาส 2/2564 โตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2564 จากยอดขายที่อยู่ในมือราว 450 ล้านบาท และ สามารถส่งมอบไปแล้วมากกว่า 200 ล้านบาท นอกจากนี้คาดเห็น utilization rate ไตรมาส 2/2564 เพิ่มขึ้นเป็น 80% สูงกว่าไตรมาส 1/2564 ที่ 70% และสูงกว่าระดับปกติในปี 2563 ที่ 60%
4) กลยุทธ์การขายใหม่ Listing fee เห็นผลเร็วกว่าที่คาด โดยยอดขายเริ่มเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1/2564 จากเดิมที่คาดเห็นไตรมาส 3/2564 นอกจากนี้บริษัทตั้งงบ Listing fee ปี 2564 ไว้ราว 10-15 ล้านบาท และหากประสบความสำเร็จมีแนวโน้มเพิ่มงบประมาณในปี 2565
5) ซอสกัญชงได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีจากสำรวจตลาดในยุโรปหลังจากคิดสูตรซอสสำเร็จ ปัจจุบันมีตลาดรองรับและพร้อมจำหน่ายคาดหาก อ.ย. อนุมัติบริษัทสามารถผลิตและ ส่งออกได้ภายใน 6-8 สัปดาห์
นอกจากนี้มีการปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น เพิ่มขึ้น 13% เป็น 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากเดิมที่ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปรับกำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 19% เป็น 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากเดิมที่ 461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากการปรับรายได้กลุ่มซอสปี 2564 เพิ่มขึ้น โดยโตเพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากเดิมที่ 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ปี 2565 โดยโตเพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากเดิม เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ยังคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2564 ที่ 45% จากต้นทุนการผลิตที่มีการ lock ต้นทุนบางส่วนต่อเนื่องไปถึงปี 2565 นอกจากนี้ยอดขายที่มาจากกลยุทธ์ใหม่อย่าง listing fee เริ่มเห็นยอดขายเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1/2564 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ที่ไตรมาส 3/2564 และประมาณการกำไรยังมี upside จากผลิตภัณฑ์กัญชง ปัจจุบันยังรอความ ชัดเจนทางกฎหมายจาก อ.ย. อีกทั้งคาดกำไรไตรมาส 2/2564 มีแนวโน้มทำสถิติใหม่จากยอดขายที่อยู่ ในมือราว 450 ล้านบาท และปัจจุบันสามารถส่งออกไปได้แล้วราว 50%
ทั้งนี้ประเมินราคาเป้าหมาย XO ที่ราคา 26.00 บาท อิงปี 2564 PER ที่ 23 เท่า (เทียบเท่า 5-year average PER) โดย XO ปัจจุบันเทรดที่ 2564 PER ที่ 17 เท่า และมีอัตราการเติบโต EPS CAGR (2563-2565) ที่ 31.4% โดยประเมินราคาเป้าหมาย PER ที่ 23 เท่า มีความเหมาะสมจาก 1) ความต้องการผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องไปถึงปี 2565 จากกลยุทธ์ใหม่, 2) บริษัทได้ทำการ lock ราคาต้นทุนไปจนถึงปี 2565 เรียบร้อยแล้ว และ 3) อัตรากำไรขั้นต้นจะยังสามารถอยู่ ในระดับสูง และทำให้ EPS CAGR (2563-2565) ขยายตัวต่อเนื่องที่ 31.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 24% แนะนำ “ซื้อ”