STECH ลุย “โรดโชว์ออนไลน์” ปักหมุดเทรด SET ไตรมาส 3/64
“สยามเทคนิคคอนกรีต” หรือ STECH จัดโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อแนะนำธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน โดยมี “เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี” ที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมนำเสนอข้อมูล โดยคาดเข้าซื้อขายในตลาด SET ภายในไตรมาส 3/64
นายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ทีมผู้บริหารของ STECH พร้อมทั้ง ที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ร่วมกันนำเสนอข้อมูลในงานโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจ จุดเด่น และโอกาสการเติบโตในอนาคต
สำหรับ STECH เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง อาทิ เสาเข็ม เสาไฟฟ้า เสาเข็มสปัน ผลิตภัณฑ์คานสะพาน เป็นต้น พร้อมให้บริการขนส่ง ตอกเสาเข็ม รวมถึงรับเหมาออกแบบจัดหา พร้อมติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง และรับเหมาติดตั้งระบบสายส่งแรงสูง (115 kV) ด้วยศักยภาพการเป็นเบอร์ 1 ในแง่ของโรงงานที่มีจำนวนมากที่สุด กระจายอยู่ในหลายภูมิภาคของประเทศไทย ทำให้พร้อมรับโอกาสจากการเข้าไปประมูลงานโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันมีโรงงาน 9 แห่ง ประมาณการกำลังการผลิตรวมในปี 2564 เท่ากับ 318,434 ลูกบาศก์เมตร/ปี และ STECH อยู่ระหว่างขยายโรงงานชลบุรี แห่งที่ 2 เพื่อรองรับโปรเจกต์ EEC คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 4/2564 สนับสนุนให้บริษัทฯ จะมีโรงงานเพิ่มเป็น 10 แห่ง และเตรียมขยายโรงงานใหม่ที่มุกดาหาร คาดแล้วเสร็จในปี 2567 สนับสนุนให้มีโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 11 แห่ง
นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า จากการที่ทำงานร่วมกับคณะผู้บริหารมาเป็นเวลากว่า 2 ปี และเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของ STECH ด้วยจุดเด่น เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของอุตสาหกรรม ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ให้บริการที่มีคุณภาพ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามายาวนาน ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสเข้าไปร่วมประมูลในงานเมกะโปรเจกต์ที่จะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายภาครัฐ ซึ่งคาดว่า STECH จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมหลายโครงการ อีกทั้ง นโยบายการจ่ายปันผลที่ดีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% สะท้อนการเป็นอีกหนึ่งหุ้น Growth Stock ที่น่าสนใจ
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า STECH มีแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 203,500,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 28.07 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
ส่วนวัตถุประสงค์การระดมทุน จะนำไปใช้ขยายธุรกิจเสาคอนกรีตอัดแรง ประมาณ 298 ล้านบาท ในช่วงปี 2564 – 2566 ได้แก่ โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี สาขา 2 ประมาณ 58 ล้านบาท ภายในปี 2564 โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานดอนพุด 45 ล้านบาท ภายในปี 2565 โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดมุกดาหาร ประมาณ 80 ล้านบาท ภายในปี 2566 โครงการซื้อรถขนส่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต 50 ล้านบาท ภายในปี 2564 และโครงการซื้อเครื่องกดกันสั่นสะเทือน 65 ล้านบาท ภายในปี 2564
นอกจากนี้ ใช้สำหรับโครงการพัฒนาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต 10 ล้านบาท ภายในปี 2564 รวมทั้ง ใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นประเภทตั๋วสัญญาใช้เงินจากสถาบันการเงิน 250-300 ล้านบาท ภายในปี 2564 ส่วนที่เหลือ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ ภายในปี 2564
นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวเสริมว่า STECH ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการโรดโชว์นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO กับนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบัน คาดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 3/2564 กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้าง
โดยมองการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ STECH ในครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ในสถานการณ์โควิด-19 โดย STECH มีประสิทธิภาพในการรับงาน ด้วยจุดเด่นจากโรงงานที่กระจายอยู่ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่กระจุกตัว เป็นผลดีในการเข้าไปตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้นทุนค่าขนส่งในระดับต่ำ สะท้อนมาที่ความสามารถในการทำกำไรที่เติบโตแข็งแกร่ง มองว่า STECH จะเป็นหุ้นคุณภาพที่เติบโตไปพร้อมกับงานโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ