PTT เปิดสำนักงาน “PTTT USA” ลุยค้าปิโตรเลียม-ปิโตรเคมีทวีปอเมริกา
PTT เปิดสำนักงาน “PTTT USA” ลุยค้าปิโตรเลียม-ปิโตรเคมีทวีปอเมริกา วางเป้าส่งสินค้ากลุ่มปิโตรเคมีเที่ยวแรกกว่า 6,000 ตัน มูลค่าราว 180 ล้านบาท
นายดิษทัต ปันยารชุน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทเปิดสำนักงาน PTT International Trading USA Inc. หรือ PTTT USA ณ เมืองฮิวสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทำการค้าในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะการค้าปิโตรเลียมและปิโตรเคมี วางเป้าหมายส่งสินค้ากลุ่มปิโตรเคมีเที่ยวแรกกว่า 6,000 ตัน มูลค่าประมาณ 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 180 ล้านบาท ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเชื่อมโยงเครือข่ายการค้าของ ปตท. ให้ครอบคลุมทั่วโลก
ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในฐานะประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก PTTT USA มีบทบาทสำคัญที่ส่งเสริมให้ ปตท. สามารถขยายฐานการค้าครบทุกหัวเมืองสำคัญของโลก ตอบโจทย์ภารกิจการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามสถานการณ์และความผันผวนของตลาดโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงเพิ่มโอกาสในการทำการค้าข้ามภูมิภาคในภาวะที่ตลาดเกิดความไม่สมดุลทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน
โดยปัจจุบัน หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. ได้จัดตั้งสำนักงานในต่างประเทศแล้วจำนวน 5 แห่ง นอกจาก PTTT USA ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. เป็นผู้ถือหุ้น 100% ยังมีสำนักงานอยู่ในประเทศที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการกำหนดราคาน้ำมันในภูมิภาคนั้นๆ ได้แก่ สำนักงานที่ประเทศสิงคโปร์รับผิดชอบภูมิภาคตะวันออกไกล สำนักงานที่นครเซี่ยงไฮ้รับผิดชอบตลาดจีน สำนักงานที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร รับผิดชอบภูมิภาคยุโรปและแอฟริกา และสำนักงานที่กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รับผิดชอบการค้าในภูมิภาคตะวันออกกลางและตลาดซื้อขายอนุพันธ์ล่วงหน้าของอาบูดาบี (ICE Futures Abu Dhabi : IFAD) ซึ่ง ปตท. เป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง
ทั้งนี้ท่ามกลางความผันผวนของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และความท้าทายในปัจจุบัน การสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขัน และการรับข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงของกลุ่ม ปตท. หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลก สร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยการขยายเครือข่ายครอบคลุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการค้าในทุกภูมิภาคของโลก