FSSIA คัด 7 หุ้น “หลบภัย” ไม่หวั่น “โควิด” พ่วงปัจจัยหนุนเพียบ!

FSSIA ยกให้หุ้น Mid-Small Cap เป็นดาวเด่นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ พร้อมคัด 7 หุ้น “หลบภัย” รับปัจจัยหนุนเพียบ!


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์โดยยกให้หุ้น Mid-Small Cap เป็นดาวเด่นในช่วงครึ่งปีหลังนี้

โดย FSSIA เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. จะขึ้นๆ ลงๆ จากความกังวลเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยที่จะเป็นไปอย่างเชื่องช้าเนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ โดยการระบาดรอบที่ 3 นี้ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยในเดือน มิ.ย. แล้วเพราะจะมีผลต่อผลประกอบการ และการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน

อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาล และการแจกจ่ายวัคซีน รวมถึงการมาตรการเยียวยารอบใหม่เพื่อผลักดันเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ การเปิดประเทศในหลายๆ ที่ทั่วโลกจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการเปลี่ยนรอบของการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ควรมองหุ้นที่บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มี New S-Curve มีวัฏจักรของธุรกิจในช่วงขาขึ้น ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่ๆ และ มีโมเดลธุกิจแบบผูกขาด

โดยเมื่อมองสถานการณ์นโยบายการเงินของสหรัฐ FSSIA มองว่าการที่ Fed มีนโยบายที่ผ่อนคลายลง และการพื้นตัวของเศรษฐกิจโลกถือเป็นโอกาสดีของนักลุงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และจะช่วยให้ SET Index ปรับตัวสูงขึ้นได้ ถึงแม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะช้ากว่าประเทศอื่นๆก็ตาม

ทั้งนี้ FSSIA มองว่าการจัดส่งวัคซีนที่รวดเร็วจะมีความสำคัญต่อการเร่งเปิดประเทศในช่วงปลายปี 2564 นี้ โดยตั้งแต่ต้นปีมานี้ ตลาดหุ้นในเอเซียปรับตัวลดลงหลังทางการออกมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ดังนั้น การกระจายวัคซีนจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ตาม FSSIA ยังคงมุมมอง Overweight ต่อตลาดหุ้นไทย และคงเป้าดัชนี  1,700 จุดในปลายปีนี้ ซึ่งจะมีการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากประเทศอื่นๆ เป็นตัวผลักดัน

นอกจากนี้ FSSIA คาดว่ากำไรในไตรมาสสามนี้จะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่จะยังคงขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยคาดว่า EPS ของ SET Index จะปรับตัวลดลง 4.9% จากมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งมีความหมายเป็นนัยว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสจะปรับตัวลดลงถึง 1,510 จุดในไตรมาสนี้ ด้านการลงทุนในเดือน ก.ค. FSSIA แนะนำ เป็นการลงทุนจากล่างขึ้นบน หรือ Bottom-Up Approach โดยยก NEX, PSTC, BAFS, BA, AH, ASIAN, และ DITTO เป็นท็อปพิก

 

NEX – [email protected]

โดยมีสามปัจจัยหลักที่จะช่วยให้ NEX เทิร์นอะราวด์ และบุ๊กกำไรได้ในอีกสองปีข้างหน้านี้ คือ 1) ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจ EV (40% จาก Absolute Assembly หรือ AAB) 2) กำไรจากการขายรถบัส และรถบรรทุก EV ด้วยความร่วมมือกับ EA และ 3) กำไรที่ยั่งยืนของมาร์จิ้นที่สูงจากบริการซ่อมบำรุงทั้งลูกค้าเครื่องยนต์สันดาปภายใน และ EV

 

PSTC – [email protected]

โดยขณะนี้ PSTC น่าจะเป็นบริษัทชั้นนำธุรกิจคล้ายสาธารณูปโภคในสายตาของนักลงทุนแล้ว โดยมีการเติบโตของกำไรจาก 1) ศักยภาพในการเทิร์นอะราวด์ตั้งแต่ปี 2564 ผลักดันโดยการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเน้นด้านท่อส่งน้ำมัน และการค้าขายแทน 2) มีโมเมนตัมการเติบโตของกำไรที่ค่อนข้างมั่นคงจากธุรกิจท่อส่งน้ำมันตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจค้าขายพลังงานที่คาดว่าจะเห็นผลในครึ่งปีหลังจากการเปิดประเทศ

 

BAFS – [email protected]

โดยคาดว่า BAFS จะเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในไทย และต่างประเทศ โดยประเมินผลประกอบการของ BAFS จะพลิกจากขาดทุน 107 ล้านบาทในปี 2564 เป็นกำไร 1.1 พันล้านบาทในปี 2565 และ 1.6 พันล้านบาทในปี 2566 จากความต้องการของนํ้ามันอากาศยาน ปริมาณการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น และกำไรจากโซลาร์ฟาร์ม

 

BA – [email protected]

โดยคาดว่า BA จะประกาศกำไรหลัก (core profit) ที่แข็งแกร่งจากธุรกิจ non-airline (บริการจัดทำอาหาร บริการภาคพื้น โกดังสินค้า และปันผลจาก BDMS และ BAFS) ที่ประเมินว่าจะสูงถึง 1.6 พันล้านบาทในปี 2566

อีกทั้งคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2566 หากบริษัทดำเนินตามแผนโดยมุ่งเน้นเดินสายไปยังสมุยซึ่งแทบจะเป็นเส้นทางที่ผูกขาดกับ BA

 

AH – [email protected]

โดยถึงแม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักจากการคาดแคลนของ semiconductor กว่า SAT ในโรงงานที่โปรตุเกส FSSIA ยังเชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลต่อรายได้ทั้งหมดของ AH เป็นส่วนน้อยเนื่องจากรายได้จากโปรตุเกสคิดเป็น 18% ของรายได้ทั้งหมด

ขณะที่ FSSIA มองว่าการที่ราคาหุ้น underperform SAT ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน จากมุมมองอุตสหกรรมยานยนต์ในปี 2564 ที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งด้วยการผลิต 1.65 ล้านคัน คิดเป็นอัตราการเติบโต 16% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งจะช่วยหักลบกับดาวน์ไซด์เรื่องการขาดแคลนของอุปทาน โดยประเมินกำไรของ AH ในปี 2564 ที่ 994 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 581%

 

DITTO – [email protected]

โดย DITTO กำลังอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปเป็นการแปลงเอกสารกระดาษเป็นเอกสารออนไลน์ โดยรายได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้อาจจะไม่คงที่ แต่จุดเด่นของ DITTO ก็คือมีธุรกิจที่เป็นตัวทำเงินสูง (Cash Cow) เช่นการให้เช่าเครื่องซีร็อกซ์ ซึ่งน่าจะช่วยสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทได้ในช่วงสามปีข้างหน้านี้

นอกจากนั้นแล้ว DITTO ยังเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องกล ทำให้จะมีโปรเจคใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งจะช่วยให้มีกำไรที่โดดเด่นได้ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรในปี 2565 จะอยู่ที่ 44% และมี CAGR 64-66 อยู่ที่ 38%

 

ASIAN – [email protected]

โดยมองว่า ASIAN เป็นหุ้นส่งออกที่น่าสนใจ ผลักดันโดยความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง และเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งบริษัทตั้งเป้าให้สินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง และเป็นสินค่าที่มีมูลค่าเพิ่ม ให้เป็น 70-75% ของรายได้จากการขายทั้งหมดในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้จาก 51% ในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ ซึ่งจะช่วยทำให้มีกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม FSSIA คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะโต 8-17% ในปี 2564-2566 ส่วนปัจจัยบวกระยะสั้นนั้นคือคาดการณ์กำไรไตรมาส 2/64 ที่สดใสจากออเดอร์อาหารสัตว์เลี้ยง และสินค้าแช่แข็งที่เข้าช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 2-3 ผนวกกับเงินบาทที่อ่อนค่า

Back to top button