S จับมือ “Genesis Block” ดึงต่างชาติใช้ “คริปโทฯ” ซื้ออสังหาฯ
S จับมือ “Genesis Block” ดึงต่างชาติใช้ “คริปโทฯ” ซื้ออสังหาฯ ลุยต่อยอดเพิ่มบริการอื่น วางเป้าดันรายได้เพิ่มเฉลี่ย 2 หมื่นล้านบาท/ปี
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า บริษัทได้จับมือกับ Genesis Block ในฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระบบนอกตลาด (OTC) อันดับหนึ่งของเอเชีย โดยความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ทำให้ผู้ซื้อต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ด้วยสกุลเงินดิจิทัล และได้รับเอกสารอย่างเป็นทางการยืนยันการโอนเงินจากต่างประเทศเข้าประเทศไทยด้วย
โดยความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการบุกเบิกเปิดทางให้ชาวต่างชาติที่ถือสกุลเงินดิจิทัล สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญกว่านั้นจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทยด้วย
“ถือเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ของ สิงห์ เอสเตท ในการจับมือกับเจ้าตลาดที่ใหญ่ที่สุดในด้านต่างๆ มากกว่าการอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ง่ายขึ้นแล้ว การเป็นพันธมิตรโดยตรงกับ Genesis Block ในฮ่องกง ยังจะช่วยให้ลูกค้าของเราทั้งในและต่างประเทศ ใช้สกุลเงินดิจิทัลได้ในราคาอัตราแลกเปลี่ยนที่ดียิ่งขึ้น และสามารถยืนยันอัตราแลกเปลี่ยนได้ในเกือบจะทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย”นางฐิติมา กล่าว
นอกจากนี้ บริษัท และ Genesis Block ยังคงมองหาโอกาสอื่นๆ ที่จะร่วมมือกัน เพื่อสร้างสรรค์การบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ต่อไป พร้อมกับการวางเป้าหมายผลักดันรายได้ของบริษัทให้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 หมื่นล้านบาท/ปี และมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี
ทั้งนี้ นายเคลเมนท์ อิป ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร เจเนซิส บล็อค กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้จะสร้างโอกาสมากมายในตลาดบล็อกเชน (Blockchain) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และสร้างการทำงานร่วมกันที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“การผลักดันการใช้เทคโนโลยีสกุลเงินดิจิทัล และบล็อกเชนให้แพร่หลาย เป็นหัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์ของ Genesis Block ตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ สิงห์ เอสเตท ในการทำให้เกิดการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นการนำสกุลเงินดิจิทัลเข้ามาใช้ได้ทั่วไปมากยิ่งขึ้น ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง”นายเคลเมนท์ กล่าว