WTI ปิดพุ่ง 2% แตะ 74.56 ดอลฯ หลังสต็อก “น้ำมันดิบ” ร่วงหนักสัปดาห์ก่อน
WTI ปิดพุ่ง 2% แตะ 74.56 ดอลฯ หลังสหรัฐเผยสต็อก “น้ำมันดิบ” ร่วงหนักสัปดาห์ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว
โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.62 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 74.56 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ลดลง 0.84% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 75.55 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ลดลง 0.8% ในรอบสัปดาห์นี้
ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 6.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจลดลงเพียง 4 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 614,000 บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมัน WTI ยังคงปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้ หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ประสบความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)
รายงานระบุว่า ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียเสนอให้เพิ่มกำลังการผลิตรวม 2 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยให้ทยอยปรับเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนส.ค.ไปจนถึงเดือนธ.ค. 2564 และขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตที่เหลือไปจนถึงปลายปี 2565
อย่างไรก็ดี UAE ได้คัดค้านข้อเสนอดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ในการกำหนดระดับการผลิตขั้นต่ำ เนื่องจาก UAE ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายน้ำมัน หลังจากที่ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19