BTS โชว์ฐานะการเงินแกร่ง เล็งจับมือ “พันธมิตร” คว้างานใหญ่ปีนี้
BTS ส่งสัญญาณร่วม “พันธมิตร” จับโครงการใหญ่ไม่หวั่นแม้มีการระบาดของโควิด-19 สะท้อน “การเงินแข็งแกร่ง” ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนยังต่ำที่ 1.28 เท่า คาดดีลชัดเจนปีนี้
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 แต่บริษัทฯไม่ได้หยุดนิ่งในการขยายธุรกิจ เนื่องจากบริษัทฯมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังต่ำที่ 1.28 เท่า ขณะที่มีโครงการในมือทั้งจากบริษัทลูกหรือบริษัทในเครือจำนวนมาก ประกอบกับพันธมิตรที่บริษัทมีอยู่โดยมีความพร้อมจะร่วมมือกันเพื่อทำโครงการขนาดใหญ่คาดว่าภายในปีนี้น่าจะเห็นความชัดเจน
“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายบริษัทฯยังมีโครงการในอนาคต ด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง บริษัทลูก บริษัทในเครือ จะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเข้าไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะมีผลตอบแทนมหาศาล ผมเชื่อว่าปีนี้คงเห็นผล” นายคีรี กล่าวกล่าวต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันนี้
สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ คาดจะเริ่มงานก่อสร้างในปีนี้ มูลค่า 1.50 -1.80 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้บริษัทร่วมทุน คือ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ที่มีผู้ร่วมทุน คือ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA (40%) BTS และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรงขึ้นในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่เนื่องจากบริษัทฯได้ขายรายได้ส่วนใหญ่จากการเดินรถไฟฟ้าให้กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ซึ่งบริษัทฯถือ 33.33% ทำให้ผลกระทบโดยตรงที่มีต่อบริษัทฯไม่มากนัก
“วิกฤตโควิดทำให้ทุกอย่างค่อนข้างลำบาก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเรามีสภาพคล่องผมมั่นใจว่าเราจะยังขยายตัวไปได้ ผมเชื่อว่าโควิดจัดการได้เรียบร้อย หรือมีความมั่นใจมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะคืนมา ตัวเลขผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายชมพู สายสีเหลืองจะคืนมา ตัวเลขผู้โดยสารความจริงวันนี้ถ้าไม่มีโควิดคนที่ใช้ระบบรถไฟฟ้าสีเขียว และอนาคตถึง 1.30 ล้านคน วันนี้ตกลงมาภาวะนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้” นายคีรี กล่าว
อย่างไรก็ดีวันนี้บริษัทฯได้ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 2,600 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทฯมีความคล่องตัวในการเข้าซื้อกิจการหรือร่วมทุนกิจการ หรือการเจรจาโครงการต่างๆ