“สหรัฐ” เล็งบังคับสวมหน้ากาก หลังยอดป่วย “โควิด-19” พุ่งต่อเนื่อง

“สหรัฐ” เล็งบังคับสวมหน้ากากอนามัย หลังโรคติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดหนัก ดันตัวเลขติดเชื้อ – เสียชีวิตพุ่งต่อเนื่อง


เมื่อวันอาทิตย์ (25 ก.ค.) แอนโธนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ระบุว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) กำลังพิจารณาทบทวนแนวปฏิบัติเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 โดยแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ แม้แต่ในหมู่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ต้องสวมเช่นกัน

เฟาซีให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) ว่าเขาได้ร่วมหารือเกี่ยวกับการแก้ไขแนวปฏิบัติ ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างต่อเนื่อง พร้อมระบุว่าพื้นที่ท้องถิ่นบางส่วนที่มีอัตราการติดเชื้อสูงเริ่มกระตุ้นให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่

เทศมณฑลลอสแอนเจลิสกลับมาบังคับใช้คำสั่งสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. โดยบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยภายในอาคารโดยไม่คำนึงถึงสถานะการฉีดวัคซีน ด้านวิเวก เมอร์ธีย์ ศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐฯ กล่าวว่าพื้นที่อื่นๆ อาจต้องปฏิบัติตาม

ไม่นานมานี้ยอดผู้ป่วย ผู้ป่วยเสียชีวิต และผู้ป่วยรักษาตัวจากโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาล กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากลดลงไปนานหลายเดือน โดยเฉพาะในหมู่ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

รายงานประจำสัปดาห์ล่าสุดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ระบุว่า “ผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นในเขตการปกครองต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่เกือบร้อยละ 90 และมีการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ”

เมื่อนับจนถึงวันที่ 22 ก.ค. ร้อยละ 35 ของเทศมณฑลต่างๆ ในสหรัฐฯ กำลังประสบกับการแพร่ระบาดในชุมชนในระดับสูง โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกล่าวว่ายอดผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เป็นผลมาจากอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำและการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา

จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขตึงเครียดมากขึ้น และอาจนำไปสู่การรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นยังเพิ่มโอกาสในการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ๆ ของไวรัสดังกล่าว

ข้อมูลจาก : ซินหัว

Back to top button