“หุ้นเอเชีย” เช้านี้เปิดลบ! นลท.ขายลดเสี่ยง หลังยอดติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นหลายปท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนลบ ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.2564) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน แม้ว่าตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯในไตรมาส 2 จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม

โดยดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,398.20 จุด ลดลง 13.52 จุด หรือ -0.40%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,677.89 จุด ลดลง 104.53 จุด หรือ -0.38% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,042.84 จุด ลดลง 272.48 จุด หรือ -1.04%

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯเปิดเผยว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2564 ของสหรัฐขยายตัว 6.50% ซึ่งแม้ว่าดีกว่าในไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 6.40% แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 8.50% โดยตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้เป็นการประมาณการครั้งที่ 1

ทั้งนี้นักวิเคราะห์จากบริษัทเชส อินเวสต์เมนท์ คอนเซล ในรัฐเวอร์จิเนียกล่าวว่า ตัวเลข GDP ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดของสหรัฐทำให้นักลงทุนเชื่อว่า เฟดจะยังไม่ถอนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในระยะใกล้นี้ ซึ่งการแสดงความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดได้แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันพุธว่า เฟดยังคงอยู่ห่างไกลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมกับส่งสัญญาณว่า เฟดต้องการเห็นภาพรวมทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐมีความแข็งแกร่งก่อนที่จะตัดสินใจถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ตลาดภูมิภาคยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหลายประเทศ โดยเมื่อวานนี้ นครซิดนีย์ของออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาเพิ่มอีก 239 ราย และเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดนับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มระบาด ส่งผลให้ทางการสั่งเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสั่งปิดธุรกิจที่ฝ่าฝืนมาตรการล็อกดาวน์ได้ ขณะที่ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่แตะระดับ 10,000 รายเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้เช่นกัน โดยกรุงโตเกียวพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3,865 ราย ทำสถิติยอดผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดต่อเนื่องเป็นวันที่สาม

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคที่เปิดเผยเช้านี้ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 6.20% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน หลังจากที่หดตัวลง 6.50% ในเดือนพ.ค. โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าความต้องการสินค้าญี่ปุ่นในต่างประเทศเริ่มฟื้นตัว และสามารถชดเชยการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวลง