PTTEP มองครึ่งหลังปี 64 โต รับราคาขายก๊าซสูง – คาดกรอบน้ำมัน 60-80 เหรียญฯ
PTTEP มองว่าราคาก๊าซปรับตัวขึ้นจะหนุนผลงานครึ่งปีหลัง 2564 โตต่อนื่อง จากโครงการ “มาเลเซีย-แปลงเอช” ปริมาณขายเฉลี่ยปี 64 เพิ่มขึ้นแตะ 4.12 แสนบาร์เรล/วัน จากปีก่อน
นายธนัตถ์ ธำรงศักดิ์สุวิทย์ ผู้จัดการ แผนกนักลงทุนสัมพันธ์บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังนี้ยังน่าจะเติบโตได้ จากแนวโน้มราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีแผนที่จะปรับราคาย้อนหลังเพื่อสะท้อนราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม ในด้านปริมาณการขายในไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะลดลงเหลือ 4.05 แสนบาร์เรลเทียบ/วัน จากไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 4.43 แสนบาร์เรล/วัน เป็นผลมาจากการปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซธรรมชาติของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ก่อนที่ปริมาณจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/2564 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการก๊าซธรรมชาติในขณะนั้นด้วย
โดยบริษัทยังคาดว่าปริมาณการขายเฉลี่ยของปี 2564 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ 4.12 แสนบาร์เรล/วัน จากโครงการมาเลเซีย-แปลงเอช สามารถเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ และมีปริมาณการขายในโครงการโอมานแปลง 2561 เข้ามาหนุน ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติทั้งในไตรมาส 3/2564 และในปีนี้คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 5.7 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ลดลงจากปีก่อน เป็นผลจากการปรับราคาย้อนหลังของราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้สะท้อนช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำ แต่จะมีปริมาณการขายเพิ่มเข้ามาของโครงการโอมาน แปลง 2561 และโครงการมาเลเซีย-แปลงเอช ก็จะทำให้ราคาก๊าซไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
สำหรับต้นทุนต่อหน่วย บริษัทจะสามารถรักษาต้นทุนต่อหน่วยไว้ที่ระดับ 28-29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากปีก่อนหน้า จากการบริหารจัดการต้นทุน และการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ของโครงการมาเลเซีย-แปลงเอช และโครงการโอมานแปลง 2561 ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีต้นทุนต่อหน่วยที่ค่อนข้างต่ำ
ทั้งนี้ บริษัทยังคงอัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA margin) ปีนี้ไว้ที่ 70-75% ของรายได้จาการขาย
โดยบริษัทยังคาดการณ์ราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 60-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยคาดว่าดีมานด์ในทวีปฝั่งสหรัฐและยุโรปยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ส่วนในภูมิภาคเอเชียดีมานด์ยังไม่ค่อยมากนักจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19
ขณะที่ด้านซัพพลายคาดว่าจะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นอยู่กับกลุ่มโอเปกพลัสจะมีการตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากมีการปรับกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นน้อยเชื่อว่าราคาน้ำมันก็อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีกได้ โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
“แผนการลงทุนของธุรกิจหลัก คือ E&P ในปี 2564 บริษัทยังคงงบประมาณไว้ที่ 4,196 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 132,174 ล้านบาท เพื่อรักษากำลังการผลิตจากโครงการหลัก เร่งพัฒนาโครงการสำคัญเพื่อเริ่มการผลิตให้ได้ตามแผนที่วางไว้ และดำเนินกิจกรรมการสำรวจเพื่อการเติบโตในระยะยาว ขณะที่ปี 2565 วางงบลงทุนไว้ที่ 5,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีโอกาสเพิ่มงบลงทุนได้อีกปีละ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ” นายธนัตถ์ กล่าว
ด้านความคืบหน้าโครงการแปลง G1/2561 (แหล่งเอราวัณเดิม) บริษัทยอมรับว่าปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ ถึงแม้จะมีการยอมรับเงื่อนไขของผู้รับสัมปทานเดิมแล้วก็ตาม โดยคาดว่าหากเมื่อถึงเวลาเข้าพื้นที่ได้ตอนนั้นคงยังไม่สามารถผลิตได้ในปริมาณตามสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างจัดทำแผนรองรับเพื่อลดผลกระทบและเพิ่มปริมาณการผลิตจากแหล่งอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่อ่าวไทยมาชดเชยมาให้ได้บางส่วน และปัจจุบันก็มีการจัดเตรียมแท่นผลิตและอุปกรณ์ให้พร้อมไว้ทุกเมื่อหากเข้าพื้นที่ได้