FSSIA คัด 5 หุ้นขั้นเทพ รับมือตลาดผันผวน ชูจุดแข็งกำไรโตยาว!

FSSIA คัด 5 หุ้นขั้นเทพ รับมือตลาดผันผวน ชูจุดแข็งกำไรโตยาว ชี้หาก SET ลงต่ำกว่า 1,500 จุด เป็นจังหวะซื้อลงทุน


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ ตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงผันผวนจากความกังวลของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธ์เดลต้า ซึ่ง FSSIA มองว่านักลงทุนควรเน้นการลงทุนแบบตั้งรับพร้อมมองหุ้นที่เห็นการเติบโตของกำไรในช่วงครึ่งปีหลังปี 2564 จนถึงปี 2565 ได้อย่างชัดเจน

สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ FSSIA คาดการณ์โดยอ้างอิงจากอัตราการฉีดวัคซีนในประเทศขณะนี้โดยระบุว่าประเทศไทยน่าจะสามารถฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับประชาชนได้ราว 72.74% ภายในสิ้นปีนี้ และจะมีประชาชน 14.85% ที่จะได้รับวัคซีนสองเข็ม ซึ่งตัวเลขนั้นจะใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ใน SEA

ทั้งนี้ FSSIA มองว่าหาก SET Index ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,500 จุด จะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการเข้าซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาว เพราะจะทำให้มีดาวน์ไซด์ที่จำกัด และความกังวลที่เกินเหตุต่อผลกระทบจากสายพันธ์เดลต้าจะทำให้นักลงทุนมีจังหวะปรับพอร์ตเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และตลาดหุ้นไทยก็ได้ปรับตัวลดลงเพื่อรับรู้ผลลบนี้ไปแล้ว

โดยดัชนีลดลง 11.4% จากจุดสูงสุดที่ผ่านมาในเดือนมิ.ย. ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดอื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากโควิดสายพันธ์เดลต้า โดยตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลง 12.9% จากจุดสูงสุด ตลาดหุ้นอินโดนีเซียลดลง 10.5% และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ลดลง 15.6% นอกจากนั้นแล้วผลงานของ SET Index ตั้งแต่ต้นปีนี้ยังล้าหลังตลาดอื่นๆ ใน SEA อยู่ ทำให้อาจเป็นจุดสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่มองหาการลงทุนในประเทศที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด และจะ Outperform ซึ่งจะเหมาะแก่การลงมากกว่าในตลาดที่อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐหรือจีน

ทั้งนี้ FSSIA คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับความผันผวนในเดือนสิงหาคมนี้ โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,480-1,550 จุด อย่างไรก็ตาม FSSIA ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดไทย และคงเป้า 1,700 จุดภายในสิ้นปี โดยมองหุ้นที่จะเห็นการเติบโตของกำไรชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังปี 2564 จนถึงปี 2565 ได้แก่ SCGP, EA, CBG, JMT และ SNNP

โดย FSSIA มองว่าบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP มีความน่าสนใจในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ โดยเชื่อว่าการเติบโตของกำลังการผลิต และการดำเนินงานเชิงบูรณาการจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2564-2565 และทางบริษัทจะยังได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนที่มีการเข้าไปซื้อธุรกิจไว้ รวมถึงการขยายกำลังการผลิตในแบบ Organic ในตลาดภูมิภาค ASEAN และยุโรป

ทั้งนี้พัฒนาการด้านการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเสริม EBITDA margin อย่างต่อเนื่องจากระดับ 19-20% เมื่อปี 2563 ถึงครึ่งปีหลังปี 2564 และ EBITDA margin ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (IPC) ที่ลดลงจะมี EBITDA margin ที่สูงขึ้นจากธุรกิจเยื่อและกระดาษ (FC) มาช่วยหนุนแทน ประเมินราคาเป้าหมายที่ 76 บาท/หุ้น

ส่วน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA มีปัจจัยบวกที่น่าจะเริ่มส่งผลต่อกำไร และราคาหุ้นให้ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะทำให้การเติบโตของกำไรในครึ่งหลังของปีนี้เติบโตขึ้นมาก ผลักดันโดยกำไรจากธุรกิจ e-bus ที่มีอยู่ 500 คันในปีนี้ รวมถึงโรงงานแบตเฟส 1 กำลังการผลิต 1GWh ที่จะเสร็จในเดือน ส.ค. นี้ และดีมานด์ระยะยาวที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับโรงงานแบตเฟส 2 ภายใต้ MOU สำหรับ รถไฟ EV ประเมินราคาเป้าหมายที่ 76 บาท/หุ้น

ด้าน บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG จะเป็นเพียงไม่กี่หุ้นในกลุ่มบริโภคที่กำไรในไตรมาส 2 นี้จะปรับตัวสูงขึ้นทั้งเมื่อเทียบจากปีก่อน และเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากผลประกอบการที่สะดุดลงของ CBG จากความไม่สงบในเมียนมาร์ไตรมาสที่ผ่านมา FSSIA เชื่อว่ากำไรในไตรมาสนี้จะกลับมาเหมือนเดิม หนุนด้วยยอดขายที่สูงในจีน และออเดอร์ค้างในเมียนมาร์

ทั้งนี้เชื่อว่า CBG จะมีผลงานที่โดดเด่นในปี 2565-2566 คาดโต 18% และ 9% ตามลำดับ จากการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 และดีมานด์ที่สูงในต่างประเทศ พร้อมทั้งต้นทุนน้ำตาลที่ถูก และภาษี ประเมินราคาเป้าหมายที่ 185 บาท/หุ้น

สำหรับในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ FSSIA มองว่า บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เป็นหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุนสำหรับการป้องกันจากการสูญเสียในช่วงภาวะถดถอย เนื่องจาก 1) FSSIA คาดยอดจัดเก็บหนี้จะขยายตัวจากการกระจายความเสี่ยงในพอร์ต และ NPL ขนาดเล็ก 2) คาดว่า JMT จะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของ NPL ในช่วงปี 2565-2566 ซึ่งสองปัจจัยหลักนี้จะช่วยให้ JMT มีกำไรจากการดำเนินงานหลักที่โดดเด่น คาดกำไรปี 2565 โต 47% เมื่อเทียบจากปีก่อน ประเมินราคาเป้าหมายที่ 52 บาท/หุ้น

นอกจากนั้น FSSIA ยังคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP จะเพิ่มขึ้นจาก 94 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 592 ล้านบาท ในปี 2566 โดยคิดเป็น CAGR ที่ 84.8% ซึ่งการเติบโตของกำไรจะเพิ่มขึ้นจาก 1) รายได้ที่เพิ่มขึ้น 9.1% CAGR 4 ปี จากอัตราการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และการ COD โรงงานใหม่ในเวียดนามในปี 2566 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงอย่างมากจาก 1 พันล้านบาทในช่วงปี 2562-2563 เป็น 700-800 ล้านบาทในช่วงปี 2564-2566 และ 3) Net Margin เพิ่มขึ้นจาก 2.1% ในปี 2563 เป็น 9.1-10.2% ในปี 2564-2566 ผลักดันโดยค่าใช้จ่าย SG&A และดอกเบี้ยที่ลดลง รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ประเมินราคาเป้าหมายที่ 15 บาท/หุ้น

Back to top button