NOBLE ครึ่งปีแรกโกยรายได้เฉียด 5 พันลบ. เดินเกมรุกพัฒนาแนวราบต่อเนื่อง

NOBLE ฟอร์มสวย! ครึ่งปีแรกกวาดรายได้เฉียด 5 พันลบ. เพิ่มขึ้น 22% ดันกำไรแตะ 786 ลบ. เดินเกมรุกพัฒนาแนวราบต่อเนื่อง-ซื้อที่ดินเพิ่มเติม


นายธงชัย บุศราพันธ์  รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยข้อมูลภาพรวมของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 13 ส.ค.2564 ว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 786 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ

รวมถึงเป็นผลจากการโอนยอดขายรอโอน (Backlog) และจากยอดขาย (Pre-sales) โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) เช่น โครงการนิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ โครงการโนเบิล บี33 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เพลินจิต โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 โครงการโนเบิล แอมเบียนส์ สุขุมวิท 42 และโครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล เป็นต้น

ด้านยอดขาย (Pre-sales) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,265 ล้านบาท โดยกว่า 2,500 ล้านบาทเป็นยอดขายมาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 1,700 ล้านบาทหลักๆ มาจากยอดการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการคือโครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา ประกอบกับบริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการออกแคมเปญ LAST PIECE, LAST PRICE สำหรับ 5 โครงการพร้อมอยู่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในช่วงครึ่งปีแรกยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 40% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติในครึ่งปีแรกของปี 2564 สะท้อนถึงเครือข่ายกลุ่มลูกค้าที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ โดยเฉพาะประเทศจีน เป็นต้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 2,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน  จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 302 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากแรงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2564 มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2564 จำนวน 0.35 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ย้อนหลัง 12 เดือนกว่า 10% สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 7 กันยายน 2564

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น) เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเป็นประมาณ 30% จากปัจจุบันที่มี 10% ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการพร้อมเปิดตัวทั้งแนบราบและคอนโดมิเนียมกว่า 10 โครงการ โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหลากหลายทำเล อาทิ ถนนดอนเมือง, ถนนเอกมัย – รามอินทรา, ถนนราชพฤกษ์, ถนนศรีนครินทร์ เป็นต้น

ทั้งนี้บริษัทฯ เห็นโอกาสในการเข้าซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เจ้าของที่ดินต่างนำที่ดินออกมาขายทอดตลาดในราคาที่เหมาะสมขึ้น ขณะที่ NOBLE มีความพร้อมทางด้านฐานะทางการเงินที่ดี ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 /2564 บริษัทฯมีกระแสเงินสดในมือรวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับอัตราการเติบโต และการขยายตัวในภาวะปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ

โดยในไตรมาส 3 มีแผนการลงทุนโดยการซื้อที่ดินใหม่หลายแปลงเพื่อที่จะเป็นการพัฒนาที่ดินในเชิงราบเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของปี 2565 มีการกระจายตัวของรายได้ทั้งแนวสูงและแนวราบมากยิ่งขึ้น

ส่วนกรณีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา NOBLE ยังไม่เห็นผลกระทบในแง่การโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถส่งมอบโครงการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ดียอดขาย (Pre-sales) ที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปีอาจเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเลื่อนการเปิดโครงการจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทฯยังคงดำเนินการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ เช่น การขอใบอนุญาติที่เกี่ยวข้องในระหว่างที่รอให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 11,800 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.19 เท่า

นอกจากนี้สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในสหราชอาณาจักร ล่าสุดบริษัทฯได้ปิดดีลการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 300 ล้านบาท ในเมืองแมนเชสเตอร์ และในชานเมืองลอนดอน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลกิจการ (Due Diligence) สุดท้าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยใช้จุดแข็งของ NOBLE ที่มีเครือข่ายในต่างประเทศรวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง

ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีดีลลงทุนซื้อโครงการในต่างประเทศอีก 2 – 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรในช่วง 3 ปีจากนี้ จะใช้งบลงทุนรวมประมาณ  250 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนตามสัดส่วน 45% ต่อโครงการ) โดยในปีแรกคาดจะใช้งบลงทุน 25 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ตามสัดส่วน 45%) และคาดว่าภายใน 3 ปี NOBLE จะมีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในสัดส่วน 15% – 20% ของกำไรสุทธิรวม

ส่วนแนวโน้มของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ยังคงได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศที่ยังไม่คลี่คลายลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3/2564 ที่มองว่าเป็นไตรมาสที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปีนี้มากที่สุด เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐที่ออกมากระทบต่อแผนการเปิดโครงการใหม่ที่ต้องเลื่อนการเปิดขายออกไป ทำให้โครงการใหม่ที่บริษัทเตรียมความพร้อมในการเปิดในช่วงไตรมาส 3/2564 ไม่สามารถเปิดได้ จากมาตรการล็อกดาวน์ และภาวะของภาพรวมตลาดที่ยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดโครงการบางส่วนไปในช่วงไตรมาส 4/2564 และมีการเลื่อนเปิดบางโครงการไปในปี 2565 ส่งผลให้การเปิดโครงการทั้งปีนี้ลดลงเหลือ 8 โครงการ มูลค่ารวม 2.86 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่จะเปิด 11 โครงการ มูลค่ารวม 4.51 หมื่นล้านบาท

โดยโครงการส่วนใหญ่ที่เลื่อนการเปิดออกไปในปี 2565 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทมองว่าการขายโครงการคอนโดมิเนียมยังคงต้องรอจังหวะของตลาดที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวกลับมาหลังจากโควิด-19 มีทิศทางคลี่คลายลงมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาพของความมั่นใจกลับมา และผู้ซื้อเริ่มกลับมาซื้อและเข้ามาชมห้องตัวอย่างในโครงการอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศสามารถดีขึ้นก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4/2564 บริษัทก็เตรียมแผนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลใจกลางเมือง 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.80 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดและกระตุ้นยอดขายของบริษัทในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ส่วนโครงการแนวราบยังมีการซื้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทยังมีการขายโครงการแนวราบที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันต่อเนื่อง

ส่วนผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทนั้นมองว่าหากการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/2564 มีโอกาสที่จะกระทบต่อยอดขายของบริษัทอย่างแน่นอน เพราะการขายจะยังเห็นภาพของการชะลอต่อเนื่องจากไตรมาส 3/64 และการเปิดโครงการใหม่ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันยอดขายในไตรมาส 4/2564 ก็จะถูกเลื่อนไปเปิดในปี 2565 ทั้งหมด ซึ่งบริษัทมองว่าในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดจะสามารถทำยอดขายสิ้นปีนี้ได้ที่ 8 พันล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.60 หมื่นล้านบาท ซึ่งยอดขายในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาถือว่าทำได้เพียง 25% ของเป้าที่ตั้งไว้ หรือทำได้กว่า 4.20 พันล้านบาท

Back to top button