NRF อัพรายได้ปี 66 แตะ 5 พันลบ. หลังขยายอีคอมเมิร์ซ – จ่อปิด 3 ดีลดันผลงานสดใส

NRF เพิ่มเป้ารายได้ปี 66 แตะ 4-5 พันลบ. หลังขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซด้วยงบลงทุน 2 พันลบ. เร็วกว่าแผนที่คาดใช้ระยะเวลา 2 ปี อีกทั้งได้ทำ M&A 3 ดีล ซึ่งคาดจะสามารถปิดดีลได้ทั้งหมดภายในปีนี้ ผลักดันรายได้ปี 64 โตแกร่ง


นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4 – 5 พันล้านบาทในปี 2566 จากเดิมคาดว่าจะมีรายได้ 3 พันล้านบาทภายในปี 2567 เนื่องจากบริษัทได้ขยายธุรกิจ E-Commerce ด้วยงบลงทุน 2 พันล้านบาทเร็วกว่าแผนที่คาดใช้ระยะเวลา 2 ปี แต่ปัจจุบันจะเร่งลงทุนให้ครบทั้งหมดภายในปี 2565 โดยการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่บริษัทเตรียมงบลงทุน 500 – 600 ล้านบาททำ M&A อีก 3 ดีล ซึ่งเป็นบริษัทที่มียอดขาย Top5 ในกลุ่มอาหารบนแพลตฟอร์ม Amazon คาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ทั้งหมดภายในปีนี้

“ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดและในช่วงล็อกดาวน์ บริษัทมองเห็นศักยภาพของตลาด e-Commerce ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงมองหาพาร์ทเนอร์และโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อสร้างการเติบโตผ่าน e-Commerce ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับทุกดีลไม่ว่าจะเป็น ดีลขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ เพื่อต่อยอดและสร้างพอร์ตโฟลิโอของ NRF ในการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายแดน กล่าว

โดยในช่วงที่ผ่านมา NRF ได้เข้าซื้อทรัพย์สินภายใต้แบรนด์ SOL Trading ภายใต้บริษัท BOOSTED NRF Corporation สำเร็จ มูลค่าการลงทุน 2.92 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย The Cocoa Trader, Fossil, Power Caribbean Cacao, and Aspen Naturals ซึ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำที่ขายอยู่บนแพลตฟอร์ม Amazon.com ปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 45 รายการ เช่น ผงโกโก้ ผงเจลาตินและจัดจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ

สำหรับการเข้าลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการสร้างจุดเริ่มต้นที่แข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริมบน E-commerce ระดับโลก รวมถึงเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งบริษัทฯ ได้รับรู้รายได้จากทั้ง Prime Labs และ SOL Trading เข้ามาในไตรมาสนี้ ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นกว่า 91.40% จากไตรมาสที่ 1/64

ทั้งนี้ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการลงทุนในโครงการ WellPath ซึ่งเป็นการลงทุนภายใต้บริษัท Boosted NRF Corporation เพื่อรองรับการขยายตัวและต่อยอดกลยุทธ์ทางด้าน E-commerce ต่อจากโครงการ Prime Labs และ SOL Trading โดยการลงทุนดังกล่าวเป็นการซื้อทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์เฉพาะ (know-how) และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้แบรนด์ของกลุ่ม WellPath

อาทิ Pure Apple Cider Vinegar Gummies, Boost Elderberry Gummies, Zen Anxiety and Stress Relief Supplement และ Vital Turmeric Gummies ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำที่ขายอยู่บน Amazon.com และอยู่ในตลาดมาแล้วกว่า 6 ปี ปัจจุบัน มีการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 11 ผลิตภัณฑ์ (SKU) เช่น วิตามินและอาหารเสริม ชนิดเยลลี่ และ จัดจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่าลงทุนไม่เกิน 4.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 135.3 ล้านบาท คาดว่าธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2564

อย่างไรก็ดีในปี 2566 รายได้ของบริษัทจะมาจากสัดส่วนรายได้จาก E-Commerce จะเพิ่มขึ้นมา 50% หลังจากบริษัทได้เข้าซื้อกิจการธุรกิจ E-Commerce ซึ่งบริษัทเห็นแนวโน้มการซื้อสินค้าจะเปลี่ยนมาใช้ออนไลน์มากขึ้น ส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) ราว 15 – 20% และส่วนที่เหลือจากธุรกิจกัญชง ทั้งนี้จะเป็นรายได้จากอเมริกาเหนือ 40 – 50% ส่วนเอเชียจะมีสัดส่วน 25 – 30% และยุโรปใกล้เคียงเอเชียสัดส่วน 25 – 30%

อนึ่งรายได้จากสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นมาจากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว แม้ว่าโควิด-19 ยังมีการระบาด แต่ก็จะมีการกระจายวัคซีนไปด้วยแต่ไม่ปิดประเทศก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ต่างจากจีนที่ใช้นโยบาย Zero Covid โดยปิดประเทศ เน้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้จากแนวโน้มความต้องการ Plant-based Food เพิ่มขึ้น มีความเป็นไปได้จะเข้าซื้อโรงงานผลิต มากกว่าการลงทุนสร้างโรงงานเอง

อีกทั้ง NRF คาดว่ารายได้ในปี 2564 จะเติบโตจากปีที่แล้วไม่น้อยกว่า 50% หลังจากบริษัทปิดดีล M&A ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 3 ดีลภายในปี 2564 โดยผลประกอบการในไตรมาส 3/2564 จะเป็นไตรมาสที่ดีและเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในเดือน ก.ค.2564 ได้รับกำไร 100 ล้านบาท หลังจากที่เลื่อนการรับรู้จาก มิ.ย.2564 ส่วนในเดือน ส.ค.2564 บริษัทได้ลดการผลิตลง 20% ที่โรงงานจ.สมุทรสาคร จากการระบาดโควิด-19 ซึ่งบริษัทต้องทำงานอย่างระมัดระวัง โดยมั่นใจว่าบริษัทฯสามารถควบคุมโควิดได้

ขณะเดียวกันจากการระบาดโควิด-19 ทำให้กระบวนการได้รับใบอนุญาตจาก British Retail Consortium (BRC) ล่าช้าออกไป คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะสามารถเริ่มกำลังการผลิตได้ทันที และคาดว่าจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของยอดขายในไตรมาส 4/2564

อย่างไรก็ตามบริษัทยังให้ความสำคัญกับ IPCC Report หรือรายงานการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ปัจจุบันนี้รัฐบาลทั่วโลกจัดตั้งภาษีสำหรับอาหารคาร์บอนสูง ส่งผลให้มีการรณรงค์เรื่องการทานอาหารโปรตีนจากพืชมากขึ้น นับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้ Plant-based Food เป็นไปตามวิสัยทัศน์และ Business Model ของบริษัทที่วางไว้อีกด้วย

นอกจากนี้แม้ว่าบริษัทใหญ่ในไทยจะเริ่มหันมาดำเนิน Plant-based Food กันมากขึ้น แต่บริษัทมั่นใจว่าบริษัทมีความได้เปรียบที่ได้ลงทุนมาก่อน และสินค้าของบริษัทเข้าสู่ Carbon Zero ในปี 3 ปีข้างหน้า รวมทั้งมีเทคโนโลยีที่บริษัทฯเข้าร่วมกับสตาร์อัพ ทำให้บริษัทมีจุดแข็งที่ได้ปรับตัวเองมา 3 ปีที่แล้วจึงสามารถแข่งขันได้ดี ในขณะที่บริษัทใหญ่ก็ยังมีธุรกิจเนื้อสัตว์ที่มีการปล่อยคาร์บอนอยู่ด้วย อาทิ ซีพี และเพิ่งเข้ามาธุรกิจ Plant-based Food ซึ่งแม้ขณะนี้ราคายังสูงแต่เชื่อว่าอนาคตราคาจะปรับลดลง อีกทั้งบริษัทได้สร้างกระแสการบริโภค Plant-based Food มาได้ระดับหนึ่ง รวมทั้งตลาดต่างประเทศก็มีแนวโน้มเติบโต ได้แก่ ออสเตรเลีย สหรัฐ เป็นต้น ที่มีผู้บริโภค VGAN ด้วย

“3 ปีข้างหน้า คิดว่าอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จะโดน disrupt ในหลายประเทศมีมาตรการตัดอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอน โดยอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ปล่อยคาร์บอนกว่า 10% บริษัทอาหารปล่อย 10% รวมๆแล้ว อุตสาหกรรมอาหารปล่อยคาร์บอนไปเกือบ 30% ถ้าไทยและประเทศผู้ผลิตไม่ลดการปล่อยคาร์บอน เชื่อว่าไทยจะโดนปรับหลายคนไม่เห็นความสำคัญของ Report นี้” นายแดน กล่าว

ส่วนธุรกิจกัญชงได้เริ่มเพาะปลูกพื้นที่ 2 ไร่กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และเพิ่มเป็น 40 ไร่ในไตรมาส 4/2564 โดยคาดว่าจะมีสารสกัด CBD ออกสู่ตลาดในไตรมาส 1/2565 โดยคาดว่าจะขายได้ในกก.ละ 35,000 – 45,000 บาท

สำหรับผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 920 ล้านบาท เติบโต 55.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 592 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) 82% ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) 5% ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Products) 2% และการเติบโตที่สำคัญ คือธุรกิจ E-Commerce Platform คิดเป็นสัดส่วน 11% ของรายได้

 

 

 

Back to top button