RML โชว์ 6 เดือนรายได้-กำไรโต ครึ่งปีหลังจ่อเปิด 3 โครงการ “อัลตร้าลักชัวรี่” 2 หมื่นลบ.
RML อวดครึ่งปีแรกกำไรโต 139% รายได้รวมทะลุ 2 พันลบ. อีกทั้งมีแบ็กล็อก 5.65 พันลบ. ครึ่งปีหลังจ่อเปิด 3 โครงการใหม่ทั้งแนวราบ-แนวสูงระดับ “อัลตร้าลักชัวรี่” มูลค่ารวม 2 หมื่นลบ.
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมีรายได้รวม 2,008.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,049.40 ล้านบาท จำนวน 959.30 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 91.40% โดยอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นกว่าเดิมจาก 9.30% ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 24.90% และมีกำไรสุทธิ 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 269.90 ล้านบาท จำนวน 373.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 138.50%
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 409.50 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 625.80 ล้านบาท จำนวน 216.30 ล้านบาท หรือ ลดลง 34.60% อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจาก 7.80% เป็น 25.80% ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิลดลงจาก 130.40 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นขาดทุนเพียง 34.30 ล้านบาทในไตรมาสนี้
ด้านยอดขาย (Presales) ของบริษัทครึ่งปีแรก 2564 อยู่ที่ 1,469.10 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,881.20 ล้านบาท จำนวน 412.10 ล้านบาท หรือลดลง 21.90% อีกทั้งบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564 อยู่ที่ 5,655.10 ล้านบาท โดยเป็นยอดรอรับรู้รายได้จากโครงการ The Lofts Silom (เดอะ ลอฟท์ สีลม) และ โครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนอื่นๆ อาทิ The River (เดอะ ริเวอร์) The Lofts Asoke (เดอะ ลอฟท์ อโศก) The Diplomat 39 (เดอะ ดิโพลแมท 39) และอื่นๆ
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากการจัดโปรโมชั่นเร่งการขายและโอนรับรู้รายได้จากโครงการ เดอะ ลอฟท์ สีลม และ เดอะ ริเวอร์ ประกอบกับบริษัทได้ปิดโครงการเก่าที่มีส่วนลดพิเศษทั้งหมดแล้วในปีที่ผ่านมาทำให้อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้นในงวดนี้ ขณะที่รายได้ไตรมาส 2/2564 เติบโตลดลง เนื่องจากจำนวนยูนิตในโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน อาทิ โครงการ เดอะ ริเวอร์ เดอะ ลอฟท์ อโศก และโครงการอื่นๆ ทยอยจำนวนลดน้อยลงเนื่องจากปิดการขายได้ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาส 2 ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ
ทั้งนี้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากกำลังซื้อของประชาชนส่วนใหญ่มีการชะลอตัว อีกทั้งมาตรการปิดแคมป์ก่อสร้าง และห้ามเคลื่อนย้ายกลุ่มแรงงานก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กำหนดการเปิดโครงการอสังหาฯหลายแห่งมีความล่าช้าจากแผนการดำเนินงานที่วางไว้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวอาจมีแนวโน้มคลี่คลาย ภายหลังจากที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นที่จะดึงบรรยากาศและความมั่นใจในการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติให้กลับมา และด้วยศักยภาพของตลาดคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ทำเลใจกลางเมืองที่มีจำนวนจำกัด ยังคงมีความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากผู้ที่กำลังมองหาที่พักอาศัย หรือซื้อไว้เพื่อลงทุน ทำให้คอนโดมิเนียมลักชัวรี่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวจากกลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อระดับสูง
ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทดำเนินการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมระดับอัลตร้าลักชัวรี่และเปิดขายจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ The Estelle Phrom Phong (ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์) ความคืบหน้าการก่อสร้าง 45% และโครงการ TAIT Sathorn 12 (เทตต์ สาทร ทเวลฟ์) ความคืบหน้าการก่อสร้าง 21% อีกทั้งได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการอาคารสำนักงาน One City Centre (วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์) หรือ OCC ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย มีความคืบหน้าก่อสร้างกว่า 47%
นอกจากนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงระดับอัลตร้าลักชัวรี่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบนพื้นที่ทำเลสุขุมวิท 38, โครงการสุขุมวิทตอนกลาง และ โครงการ Ocean Front Beach จ.ภูเก็ต อย่างไรก็ดีบริษัทมีการติดตามสภาพตลาดและมาตรการภาครัฐอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์