RBF ส่งซิกครึ่งปีหลังแกร่ง ส่งออกหนุน-ออเดอร์ทะลัก มั่นใจรายได้ปี 64 โตตามเป้า 10-15%
RBF ส่งซิกครึ่งปีหลังโตแกร่ง รับส่งออกหนุน คาดยอดขายสูงกว่าครึ่งปีแรก หลังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขายโรงแรมออกไปช่วยลดต้นทุนอีกด้วย มั่นใจรายได้ปี 64 โตตามเป้า 10-15% เปิดแผน 5 ปีรุกตลาดต่างประเทศเพิ่ม เน้นอินโดนีเซีย, เวียดนาม, อินเดีย และรัสเซีย
พ.ท.พญ.จัณจิดา รัตนภูมิภิญโญ กรรมการบริษัท บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF เปิดเผยข้อมูลภาพรวมของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 19 ส.ค.2564 ว่า แนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ยังมีทิศทางสูงขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่มียอดขายเติบโต 9.70% จากแนวโน้มของยอดออเดอร์สั่งซื้อส่วนประกอบอาหารและเครื่องดื่มของกลุ่มลูกค้ายังมีเข้ามามาก โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าส่งออก หลังจากเศรษฐกิจในต่างประเทศฟื้นตัวมาเติบโตขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯและยุโรปที่ยังคงเปิดประเทศ และไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ามากนัก
“คาดว่าผลการดำเนินในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นไปตามแผนซึ่งปัจจัยสนับสนุนก็น่าจะเป็นเรื่องส่งออกแต่ก็ต้องดูปัจจัยในประเทศควบคู่ไปด้วย อย่างไรก็ตามก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับค่า Freight ว่าจะขึ้นอีกเยอะขนาดไหน” พ.ท.พญ.จัณจิดา กล่าว
ขณะที่กลุ่มลูกค้าในประเทศยังมีออเดอร์เข้ามาต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แต่อาจจะเห็นการชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อย เนื่องจากภาพรวมการบริโภคในประเทศชะลอตัว แต่ยังมีการสั่งออเดอร์เข้ามาเพื่อรองรับการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นบริษัทจึงยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 2564 จะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 10 – 15%
นอกจากนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มกัญชง ปัจจุบันบริษัทได้มีการเจรจากับลูกค้าหลายรายที่สนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ส่วนผสมของกัญชงออกมาจำหน่าย ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตพัฒนาและผลิตสินค้า จึงคาดว่าจะเห็นรายได้ที่มาจากกลุ่มธุรกิจกัญชงเข้ามาในช่วงปลายปี 2564 เป็นต้นไป และจะชัดเจนมากขึ้นในปี 2565 หลังจากที่เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตออกมาจำหน่ายได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าภาพรวมของยอดขายจะมีการเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังมีปัจจัยกดดันอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ของบริษัทที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมความสามารถในการทำกำไรในปี 2564 คือราคาต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นปัจจัยที่สร้างความท้าทายในปีนี้ โดยที่บริษัทได้บริหารจัดการกับซัพพลายเออร์เพื่อล็อกราคาต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งสามารถทำได้ในบางซัพพลายเออร์ พร้อมกับพยายามควบคุมต้นทุนการขนส่งเพื่อไม่ให้กระทบมากแต่ทั้งนี้เชื่อว่าปัจจัยกดดันความสามารถการทำกำไรจะเป็นแค่ภาวะชั่วคราว และจะเริ่มเห็นการคลี่คลายลงของราคาต้นทุนวัตถุดิบ รวมถึงต้นทุนการขนส่งในปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้มาร์จิ้นของบริษัทฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง
“สำหรับแผนการเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้านั้น โดยในช่วง 3 ปีถัดจากนี้คงจะต้องโฟกัสอินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนปีที่ 4-5 คาดจะได้เห็นการทำการตลาดในที่อื่นๆ เช่น อินเดียและรัสเซีย ตามที่เคยพูดไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มโควิด-19” พ.ท.พญ.จัณจิดา กล่าว
ด้านนายสุรนาถ กิตติรัตนเดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน RBF เปิดเผยว่า แม้ว่ามาร์จิ้นของบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากราคาต้นทุนวัตถุดิบและอัตราค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นสูง แต่มีปัจจัยหนุนกำไรสุทธิของบริษัทจากการที่ไม่ต้องบันทึกผลขาดทุนของธุรกิจโรงแรมที่เคยมีเฉลี่ยไตรมาสละ 15 – 18 ล้านบาท หลังจากได้ตัดจำหน่ายออกไปในไตรมาส 2/2564 ช่วยให้แรงกดดันของกำไรในครึ่งปีหลังนี้ลดลงไปค่อนข้างมาก
สำหรับการลงทุนในการขยายตลาดในอาเซียนนั้น บริษัทยังคงเน้นการขยายในกลุ่มประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนามเป็นหลัก โดยที่ในตลาดอินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ และโรงงานในเฟสแรกใช้กำลังการผลิตเต็มแล้ว ทำให้บริษัทเตรียมลงทุนก่อสร้างโรงงานเฟส 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมชำระค่าที่ดิน และออกแบบ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2565 และเริ่มผลิตในปี 2566 ใช้เงินลงทุนราว 200 – 250 ล้านบาทที่เหลือจากการเสนอขายหุ้น IPO