BPP แย้มครึ่งปีหลังโตต่อ รับรู้ 2 โรงไฟฟ้า “สหรัฐ-จีน” 700 MW
BPP มองผลงานครึ่งปีหลังโต จ่อรับรู้ 2 กำลังผลิตโรงไฟฟ้าในสหรัฐ-จีน รวม 700 MW พร้อมมั่นใจว่า EBITDA ปีนี้จะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา หลังครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 2,399 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA อยู่ที่ 1,655 ล้านบาท
นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 64 บริษัทยังมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยมี EBITDA ที่ระดับ 2,399 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย BPP ยังคงเป้ามุ่งขยายกำลังผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี 68
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทเตรียมรับรู้กำลังการผลิตใหม่เพิ่มอีกกว่า 700 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 384 เมกะวัตต์ ปัจจุบันเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว พร้อมสร้างกระแสเงินสดได้ทันที คาดว่าการลงทุนในครั้งนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในสัญญา และสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/64
ขณะที่โรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 396 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในช่วงทดสอบการเดินเครื่องเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการ COD ในช่วงไตรมาส 3/64 ด้านโรงไฟฟ้าพลังงานลมเอลวินหมุยยิน (El Wind Mui Dinh) ในเวียดนาม กำลังผลิต 38 เมกะวัตต์ ที่ BPP เข้าลงทุนก่อนหน้านี้จะรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/64 เช่นกัน
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและคาดว่าจะ COD ภายในปีนี้มีจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา (Vinh Chau) ระยะที่ 1 ในเวียดนาม กำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ได้ในช่วงไตรมาส 3/64 รวมไปถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 2 โครงการ ได้แก่ เคเซนนุมะ (Kesennuma) กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ และชิราคาวะ (Shirakawa) กำลังผลิต 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ในไตรมาส 4/64
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการอยู่หลายแห่งในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซฯ และพลังงานทดแทนเพื่อเข้ามาต่อยอดกับธุรกิจที่มีอยู่และสร้างกระแสเงินสดทันทีในประเทศที่บริษัทมีการลงทุนอยู่แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น โดยวางงบลงทุนราว 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปี 64 จะเติบโตกว่าปีก่อน หลังจากงวดครึ่งปีแรกมี EBITDA อยู่ที่ 2,399 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA อยู่ที่ 1,655 ล้านบาท เนื่องจากสามารถรักษาระดับการทำกำไรจากการบริหารโรงไฟฟ้าได้ดี แม้จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าตามแผนบางส่วน