ITEL เดินหน้าประมูลงานเพิ่ม เสริม Backlog แตะ 3.2 พันลบ.-เล็งขาย IDC เข้ากอง REIT

ITEL เน้นกลยุทธ์ New S-curve ขยายฐานลูกค้า รุกธุรกิจโซลูชั่นครบวงจร ลุ้น Q3 คว้างานกว่า 700 ลบ. เสริม Backlog แตะ 3.2 พันลบ. ทุกกลุ่มธุรกิจเติบโตแกร่ง มั่นใจปั๊มรายได้ปี 64 โตเกิน 20-30% วางแผนขาย IDC เข้ากอง REIT


นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เปิดเผยข้อมูลภาพรวมของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 24 ส.ค.2564 ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 452.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.04%เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายการพิเศษ) และมีกำไรสุทธิ จำนวน 47.13 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิหลังหักรายการพิเศษ 39.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.44%

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ยังคงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีสัดส่วนของรายได้จากการให้บริการโครงข่ายในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 321.35 ล้านบาท ขณะเดียวกันธุรกิจการให้บริการติดตั้งโครงข่าย มีรายได้อยู่ที่ 96.38 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการรับงานติดตั้งโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ และลูกค้ามีความมั่นใจในบริการของบริษัทฯ

ขณะที่รายได้จากการให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ มีรายได้อยู่ที่ 20.19 ล้านบาท คาดว่าต่อจากนี้ ทุกหน่วยธุรกิจที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างเต็มที่ ได้แก่ ธุรกิจ การให้บริการโครงข่าย โดยมีปัจจัยมาจากที่ บริษัทฯสามารถผลักดันยอดขายจากลูกค้าที่เข้ามาใช้งานบริการโครงข่ายได้เพิ่มมากขึ้น และการเริ่มรับรู้รายได้จากการให้บริการโครงการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลได้แบบเต็มปี ธุรกิจการให้บริการติดตั้งโครงข่ายที่ได้ปัจจัยหนุนจากภาครัฐ

ส่วนธุรกิจ การให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ ซึ่งมีความต้องใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามเทรนด์ของโลกยุคดิจิทัลเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเร่งขยายพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการ Work From Home ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนผลประกอบการในปี 2564  ให้เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2564 และในอนาคตของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่ดีจากโครงข่ายที่ครอบคลุมถึง 75 จังหวัด ทำให้โครงข่ายมีเสถียรภาพมากขึ้นและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้มากขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมไปถึงโซลูชั่นที่บริษัทฯ นำเสนอตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทำให้บริษัทฯ มั่นใจมากว่าจะสามารถปิดการขายและได้สัญญาในมือมาเพิ่มในไตรมาส 3 อีกกว่า 700 ล้านบาท สนับสนุนให้ผลงานปีนี้มีการเติบโตสูงขึ้นตามแผนงานที่วางไว้

โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัญญาในมือ (Contract in Hand) อยู่แล้วทั้งสิ้น 3,179 ล้านบาท แบ่งเป็นงานให้บริการต่อเนื่อง (Recurring) จำนวน 2,843 ล้านบาท ได้แก่ งานให้บริการโครงข่าย 2,659 ล้านบาท และงานให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ 184  ล้านบาท และงานให้บริการไม่ต่อเนื่อง (Non-Recurring) คือ งานให้บริการติดตั้งโครงข่าย 336 ล้านบาท สนับสนุนเป้าหมายทั้งปี 2564 ที่วางไว้จะมีรายได้เติบโต 20-30 % จากปีก่อน ในขณะที่ให้ความสำคัญกับอัตรากำไรสุทธิที่ดีมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่วางไว้ อีกทั้งคาดการณ์ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นแตะ 40% ได้ภายใน 5 ปี  จากการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกทั้งยังประเมินว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบริการให้คำปรึกษา ออกแบบและดำเนินการติดตั้งโครงข่ายที่เกี่ยวข้องกับระบบสื่อสารความเร็วสูงแบบครบวงจร ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้องค์กรทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต้องลงทุนพัฒนาระบบไอทีให้มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทฯในฐานะหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจโทรคมนาคม จึงแสวงหาโอกาสในการขยายการเติบโตสู่ New S-Curve พร้อมวางการดำเนินธุรกิจสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้บริษัทมีแผนนำสินทรัพย์ที่เป็นศูนย์อินเตอร์ลิ้งค์ ดาต้า เซ็นเตอร์ (IDC) แห่งที่ 1 ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการและเตรียมยื่นแบบแสดงรายการขอเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) คาดว่าจะมีความคืบหน้าในไตรมาส 3/2564 และขายได้ในไตรมาส 4/2564 หรือไตรมาส 1/2565

Back to top button