“ทริสฯ” อัพเรทติ้งองค์กร-หุ้นกู้ NPS ระดับ BBB+ สะท้อนสถานะการเงินแกร่ง
“ทริสฯ” อัพเรทติ้งองค์กร-หุ้นกู้ NPS ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เป็น BBB+ จากเดิม BBB สะท้อนความเชื่อมั่นต่อธุรกิจ-สถานะการเงินแกร่ง และผลงานมีเสถียรภาพมากขึ้น
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS) สถาบันจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของไทย ได้ประกาศอันดับความน่าเชื่อถือของ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) (NPS) เพิ่มขึ้นจากเดิมในระดับ BBB เป็น BBB+ (Stable) โดยประกาศ ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2564 การเพิ่มอันดับเครดิตครั้งนี้ สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ
สำหรับการปรับอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งเป็น BBB+ (Stable) ในครั้งนี้ เป็นการปรับเพิ่มอันดับเครดิตต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากที่ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2563 ทริสเรทติ้ง ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของ NPS จาก BBB- เป็น BBB (Stable) การปรับเพิ่มอันดับเครดิต 2 ปีติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจต่อธุรกิจของ NPS มุมมองในเชิงบวก และความแข็งแกร่งของสถานะการเงินได้เป็นอย่างดี
โดยในปี พ.ศ.2563 NPS มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 4,650 ล้านบาทจากเดิม 4,470 ล้านบาทในปี พ.ศ.2562 ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งประเมินไว้ ขณะที่หนี้สินทางการเงินลดลงจาก 16,900 ล้านบาทเป็น 14,000 ล้านบาทในปี พ.ศ.2563 ทำให้สัดส่วนหนี้ทางการเงินต่อทุนปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.3% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3 เท่าในปี 2563 จาก 3.8 เท่าในปี พ.ศ.2562
ทั้งนี้การออกหุ้นกู้มูลค่า 5.5 พันล้านบาทในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา NPS ได้นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่รวมกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไปใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวก่อนกำหนดรวม 1.9 พันล้านบาท และชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่า 3.9 พันล้านบาทที่ครบกำหนดในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 ส่งผลให้บริษัท ไม่มีภาระหนี้กับสถาบันทางการเงิน ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนใหม่โดยทริสเรทติ้ง คาดว่าภาระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี พ.ศ.2564-2566
นอกจากนั้น “ทริสเรทติ้ง” ยังระบุเพิ่มเติมว่า การปรับเปลี่ยนสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทจำนวน 116 เมกะวัตต์ จากการอ้างอิงราคาเชื้อเพลิงเป็น แบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่อัตรา 3.66 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย) ทำให้บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น และคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าโดยรวมได้ที่ระดับเดียวกับมารตรฐานอุตสาหกรรมประมาณ 84%-86%
อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 บริษัท NPS ก็ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องได้ปรับอันดับเครดิตเรทติ้งสองปีซ้อนทำให้สามารถเชื่อมั่นได้ว่าธุรกิจของ NPS มีความมั่นคงและยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง