“รัฐ” ลุยเจรจาสั่งซื้อ “แอสตร้าฯ-ไฟเซอร์” เพิ่ม มั่นใจปีนี้ฉีดวัคซีน 50 ล้านคนตามเป้า

"รัฐ" เปิดแผน 4 เดือน (ก.ย.-ธ.ค.64) ซื้อ “แอสตร้าฯ-ไฟเซอร์” เพิ่ม 2-3 ล้านโดส/เดือน หนุนเป้าจัดหาวัคซีน 140 ล้านโดสปีนี้ เร่งจัดสรรฉีดกลุ่มเด็กอายุ อายุ 12-18 ปี พร้อมเดินหน้าฉีดวัคซีนให้ประชาชนตามเป้า 50 ล้านคน ครอบคลุม 70% ของประชากร


นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยมีสัญญาณดีขึ้น ยอดผู้ป่วยที่รักษาหายสามารถกลับบ้านได้ ตัวเลขอยู่ที่สองหมื่นกว่ารายติดต่อกันเป็นเวลา 20 กว่าวันแล้ว และจำนวนผู้หายป่วยกลับบ้านนั้นมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกัน 10 กว่าวันแล้วด้วย ถือเป็นข่าวดี ขณะเดียวกันจำนวนยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็มีแนวโน้มค่อยๆ ลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขจะยังสูงอยู่ เนื่องจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่แนวโน้มในระยะยาวน่าจะค่อยๆ ลดลง

ทั้งนี้ ศบค. ได้เห็นชอบกับแผนการที่เรียกว่าการควบคุมโรคแนวใหม่ที่สมดุลกับการดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยจากโควิด -19 หรือ “Smart Control and Living with COVID-19” ด้วยการยกระดับป้องกันตัวเองอย่างสูงสุด การฉีดวัคซีนให้เป็นภูมิคุ้มกันหมู่ การเข้าถึงชุดตรวจ ATK  การจัดสภาพแวดล้อมของกิจการให้ปราศจากโควิด (COVID-Free Setting) เป็นต้น

สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนภายในสิ้นปีนี้จะมีวัคซีนจำนวน 140 ล้านโดส  นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เจรจาสั่งซื้อวัคซีนจากสหภาพยุโรป หรือ EU เพิ่มอีก แบ่งเป็นวัคซีน AstraZeneca จำนวน 2 ล้านโดสต่อเดือน (ก.ย. – ธ.ค. 64 เป็นเวลา 4 เดือน) และวัคซีน Pfizer/BioNTech จำนวน 2.5-3 ล้านโดสต่อเดือน (ก.ย. – ธ.ค. 64 เป็นเวลา 4 เดือน)

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีนโควิดสำหรับเด็กอายุ 12-18 ปี เพื่อสร้างภูมิให้พร้อมในการเปิดเรียนด้วย ซึ่งตอนนี้ ศบค. ได้นำมาตรการ Sandbox Safety Zone in School  เป็นการทดลองเปิดเฉพาะโรงเรียนประจำก่อนบางแห่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนให้กับครูแล้วกว่า 573,656 คน และยังคงมีนักเรียนในระบบอีกประมาณ 4 ล้านคนจากการประเมินของกระทรวงสาธารณสุข คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ไทยจะได้รับวัคซีนรวมทุกประเภท 140 ล้านโดส โดยจะเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทุกคนตามเป้า 50 ล้านคน ครอบคลุม 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ทั้งบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยให้เร็วที่สุด สอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ไทยมีอยู่

“ต้องขอบคุณคนไทยทุกคนที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ทั้งสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่ต้องตระหนักว่าเชื้อโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ ระบาดกว้างขวาง แพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงแต่ประเทศไทย แต่เป็นวิกฤตทั่วโลก บางคนติดแล้วไม่แสดงอาการ ทำให้ไปติดครอบครัวได้ง่าย จึงขอให้คิดเสมอว่า เราอาจจะติดเชื้อแบบไม่รู้ตัว และอาจจะเป็นผู้แพร่เชื้อได้ ดังนั้น ขอให้ทุกคนยกระดับการป้องตนเองแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) ต้องระมัดระวังสูงสุด ออกจากบ้านเมื่อจำเป็นเท่านั้น สวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ แยกของใช้ส่วนตัว ทานอาหารปรุงสุก หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงต้องรีบตรวจด้วย ATK  ขอให้ทุกคนอดทน เพื่อช่วยกันลดโอกาสการติดเชื้อเพิ่ม นำไปสู่การฟื้นฟูประเทศต่อไป” นายธนกร กล่าว

Back to top button