“ฟินันเซีย” คาดกำไร SEAFCO เริ่มฟื้นตัว Q4 ทยอยรับรู้ฯ โครงการ “เซ็นทรัลแอมบาสซี่”
“บล.ฟินันเซีย” มอง SEAFCO กำไร Q4 ฟื้น หลังการก่อสร้างกลับสู่ภาวะปกติ และเร่งรับรู้งานที่อยู่ระหว่างทำต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการใหญ่ Central Embassy ก่อนจะแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งในครึ่งปีหลัง 2565 ขับเคลื่อนด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายม่วงใต้
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (3 ก.ย.2564) โดยประเมิน บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ว่า ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 1.46 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ในกทม.ทั้งหมด โดยนับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน ได้มีการประกาศรับงานใหม่รวม 387 ล้านบาท ต่ำกว่า ต่ำกว่าช่วง 8 เดือนแรกของปี 2563 ที่รับเพิ่ม 1.47 พันล้านบาท จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อและรุนแรงกระทบต่อความเชื่อมั่นของการลงทุน
อย่างไรก็ดีภาพรวมบรรยากาศการรับงานถือว่าฟื้นตัว แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นโครงการขนาดเล็ก – กลาง และสภาพการแข่งขันยังสูง รวมถึงเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานจำกัดศักยภาพในการรับงาน หลังจำนวนแรงงานเหลือ 300 คน ลดลงกว่า 1 เท่าตัว จากระดับก่อน COVID ที่ 600 คน โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเร่งจัดหาแรงงานเพิ่มรวมถึงคาดหวัง COVID-19 คลี่คลายหนุนให้การลงทุนใหม่และแรงงานมีทิศทางดีขึ้น
ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอผลประมูล 7.60 พันล้านบาท (ไม่รวม Mega Project) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานภาครัฐกว่า 82% อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าภาพรวมจะเป็นลักษณะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในไตรมาส 4/2564 – ไตรมาส 2/2565 โดยรายได้จะยังอยู่ระะดับไม่สูงจากงานเอกชนขนาดไม่ใหญ่เนื่องจากถูกจำกัดด้วยแรงงานที่ไม่เพียงพอ และมาร์จิ้นกดดันจากการแข่งขันรุนแรง
ขณะเดียวกันโมเมนตัมรับงานจะเด่นขึ้นอีกครั้งในครึ่งปีหลัง 2565 ขับเคลื่อนด้วยโครงการใหญ่ที่เป็นเป้าหมายหลักอย่างรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายม่วงใต้ที่มีแผนประมูลเป็นรูปธรรมขึ้น โดยจะขายซองเดือนต.ค. – พ.ย. 2564 ก่อนได้ผู้ชนะการประมูลในช่วงไตรมาส 2/2565 ทำให้คาดเริ่มงานก่อสร้างหลักได้ในปลายปี 2565 ซึ่ง SEAFCO มีโอกาสเป็นส่วนร่วมรับงาน Sub-contract จากบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ซึ่งเป็นตัวเต็ง เป็นบวกในการยกฐานรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้นจากงานรับเฉพาะค่าแรงซึ่งมาร์จิ้นดี
อีกทั้งทางฝ่ายวิจัยยังคงประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2564 จะพลิกเป็นขาดทุน (เทียบกับกำไร 23 – 24 ล้านบาทในไตรมาส 1/2564 และไตรมาส 3/2563) จากมาตรการปิดแคมป์คนงานและหยุดก่อสร้างในกทม.และปริมณฑล ตั้งแต่ 28 มิ.ย. 2564 เป็นเวลา 30 วัน ซึ่ง SEAFCO มีงานในมือทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แม้กลับมาก่อสร้างได้ตั้งแต่ 3 ส.ค. แต่ภาพรายไตรมาสเหลือรับรู้รายได้เพียง 2 เดือน พร้อมแบกรับค่าใช้จ่ายคงที่แม้หยุดก่อสร้าง อาทิ ค่าแรงคนงาน และค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการป้องกัน COVID-19
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2564 คาดฟื้นตัวเป็นกำไรมีโอกาสใกล้ไตรมาส 1/2564 หลังการก่อสร้างกลับสู่ภาวะปกติ และเร่งรับรู้งานที่อยู่ระหว่างทำต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการใหญ่ Central Embassy มูลค่า 700 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนก.ย.นี้
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปกติปี 2564 ลงจากเดิม 75% เป็น 31 ล้านบาท ลดลง 80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 ลงจากเดิม 49% เป็น 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการปรับลดรายได้ก่อสร้าง สะท้อนผลกระทบ COVID มากกว่าคาด รวมถึงปรับอัตรากาไรขั้นต้นลงจากการแข่งขันรุนแรง
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยเปลี่ยนวิธีประเมินมูลค่าหุ้นจากเดิม PER เป็น PBV เนื่องจากอยู่ในช่วงต้นของการฟื้นตัว ซึ่งฐานกำไรยังต่ำและมีความผันผวนสูง โดยประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 4.70 บาท อิง PBV 2x หรือค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี -0.50SD สะท้อนความเสี่ยงหากจัดหาแรงงานเพิ่มไม่ทันซึ่งเป็นข้อจำกัดการรับงานและระดับกำไรยังต่ำกว่าก่อน COVID-19
ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันใกล้เต็มมูลค่า บวกกับแนวโน้มงบไตรมาส 3/2564 อ่อนแอ และมีโอกาสบริษัทงดจ่ายปันผลปี 2564 จึงแนะนำ “ถือ” หรือหาจังหวะ Switch เข้าลงทุนหุ้น CK ที่พื้นฐานแข็งแกร่งกว่า ขณะที่ Key Catalyst คือสถานการณ์แรงงานดีขึ้น และข่าวคืบหน้างานใหม่จะเปิดโอกาสเก็งกำไร