MEGA เดินหน้าผลิตภัณฑ์ยา-อาหารเสริม หวังดันยอดขาย-กำไรปี 66-68 โตเท่าตัว
MEGA ชูกลยุทธ์ขยายยอดขายสินค้าเดิม รวมถึงลงทุนในผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมเพิ่มมากขึ้น เพื่อหวังดันยอดขาย-กำไร ปี 66-68 โตเท่าตัว แม้วิกฤติโควิดกดดัน
นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า บริษัทฯยังมั่นใจว่าจะดำเนินแผนงานได้ตามตั้งเป้าหมายในช่วง 5 – 7 ปี หรือภายในปี 2566 – 2568 จะเพิ่มยอดขายและกำไรเป็นเท่าตัว แม้ว่าในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาจะเผชิญกับปัจจัยกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทฯยังคงเดินหน้าขยายยอดขายสินค้าเดิม รวมถึงลงทุนในผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมเพิ่มมากขึ้น เพื่อการรักษาโรคและการบำรุงสุขภาพให้มีความหลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียเพื่อขยายตลาดและเพิ่มยอดขายในอนาคตด้วย
ทั้งนี้แผนลงทุนของบริษัทฯยังเป็นไปตามที่วางงบไว้ราว 516 ล้านบาทในช่วงปี 2564 – 2565 โดยในประเทศไทยจะมีการลงทุนรองรับการเพิ่มรูปแบบยาและอาหารเสริมใหม่ และการควบรวมกิจการภายใต้งบ 345 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะใช้รองรับการลงทุนในอินโดนีเซียเป็นหลัก เพื่อเพิ่มรูปแบบยาและอาหารเสริม ขยายคลังสินค้า และก่อสร้างโรงงานใหม่
สำหรับภาพรวมของรายได้ในปี 2564 ยังมั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 6 – 10% โดยคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ตามความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพในกลุ่มอาหารเสริม จากการที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพและให้ความสำคัญกับการป้องกันและสร้างภูมิต้นทานให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าการใช้ยาเพื่อการรักษา ทำให้ตลาดอาหารเสริมเติบโตสูง และเติบโตมากกว่าตลาดยา เป็นปัจจัยหลักที่สามารถเข้ามาหนุนภาพรวมของผลการดำเนินในช่วงครึ่งปีหลังได้อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากกัญชง บริษัทฯอยู่ระหว่างรอใบอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐให้สามารถจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ โดยที่บริษัทมีความพร้อมเจรจาข้อตกลงกับบริษัทจำหน่ายสารสกัดเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว ซึ่งบริษัทฯสนใจทำผลิตภัณฑ์ในรูปแบบสำเร็จรูปแบบเม็ดและเครื่องดื่ม
ด้านธุรกิจในเมียนมา หลังจากที่มีสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อบริษัทฯเพียงเล็กน้อยในด้านการขนส่งและกระจายสินค้าที่ล่าช้า แต่เริ่มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นหลังจากสถานการณ์ความไม่สงบคลี่คลายลง แต่ความต้องการสินค้าในเมียนมาและประเทศอื่นๆ ยังมีอยู่มาก ทำให้ปัจจุบันธุรกิจในเมียนมาเริ่มกลับมาฟื้นตัว และบริษัทฯยังสามารถบริหารจัดการให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างดี เพราะทำธุรกิจในเมียนมามานานแล้ว ทำให้เข้าใจและปรับแผนให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้