“ฟินันเซีย” แนะสะสม DRT เป้า 8.30 บ. ลุ้นผลงาน Q4 ฟื้น – ปันผลสูง
“ฟินันเซีย” แนะทยอยสะสม DRT ราคาเป้าหมาย 8.30 บาท ลุ้นผลงานเริ่มฟื้นตั้งแต่ไตรมาส 4/64 – ไตรมาส 1/65 และมีผลตอนแทนปันผลสูง
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ราคาเป้าหมาย 8.30 บาทต่อหุ้น โดยการประชุม Opp Day วานนี้ (9 ก.ย.64) ผู้บริหารคงเป้าหมายปี 2564 โดยคาดยอดขายเติบโต 5% จากปีก่อน เทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ขยายตัว 8% จากปีก่อน และอัตรากาไรขั้นต้นที่ 27-29% เทียบกับครึ่งแรกของปี 2564 เฉลี่ย 30.6%
โดยมองว่าเป้าของบริษัทยังเป็นไปได้ แม้รวมผลของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 แต่ประเมินว่าภาพรวมกระทบไม่มาก โดยหลักๆ ส่งผลต่อช่องทางโครงการอสังหาฯ หลังมีคำสั่งปิดแคมป์ก่อสร้างกทม.และปริมณฑล ตั้งแต่ 28 มิ.ย.เป็นเวลา 1 เดือน โดยช่องทางดังกล่าวเป็นสัดส่วนไม่มากราว 9% ของยอดขายรวม รวมถึงช่องทาง Modern Trade จากมาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดขึ้นใน 29 จังหวัด ทำให้บางสาขาปิดชั่วคราวราว 29-30 สาขา
อย่างไรก็ตาม มาตรการควบคุมทยอยปลดล็อก โดยโครงการอสังหาฯสามารถกลับมาดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือนส.ค. และ ศบค.มีมติผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. ช่วยหนุนอุปสงค์, กาลังซื้อ และบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในไตรมาส 4/64 ฟื้นตัว
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/64 หดตัวจากไตรมาสก่อน สาเหตุมาจากรายได้ถูกกดดันจาก 1) สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดในเดือนก.ค.-ส.ค. 2) เข้าสู่ฤดูฝนเต็มตัว 3) การหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักร ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตคาดปรับลดเป็นระดับ 75-80% จากครึ่งปีแรก เฉลี่ย 90%
ขณะที่อัตรากาไรขั้นต้นคาดอ่อนลงเล็กน้อยจากไตรมาส 2/64 หลังต้นทุนวัตถุดิบอย่างราคาเยื่อกระดาษและต้นทุนพลังงานอย่างค่าขนส่งสูงขึ้น แต่คาดว่ายังอยู่ในกรอบ 27-29% ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ จากกลยุทธ์เน้น Product Mix, บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการปรับราคาขายขึ้นในบางสินค้า
อย่างไรก็ดี คาดไตรมาส 4/64 ฟื้นตัวหลังสถานการณ์แพร่ระบาดคลี่คลายขึ้น และผ่อนคลายมาตรการควบคุม ทำให้มองว่าประมาณการกาไรปกติปี 2564 ทรงตัวจากปีก่อนที่ 550 ล้านบาท ยังเป็นไปได้ โดยครึ่งปีแรกคิดเป็น 68% ของทั้งปี สำหรับปี 2566 คาดกำไรปกติขยายตัว 3.5% จากปีก่อนเป็น 569 ล้านบาท บนสมมติฐานเชิงอนุรักษ์นิยม และยังไม่รวม Upside กำไรจากการขายที่ดิน ซึ่งอยู่ระหว่างประกาศขายที่ดินจังหวัดลาปาง 55 ไร่
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 8.30 บาท (อิง PER 12.5 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลัง) ราคาหุ้นมี Upside กว้างขึ้นมากกว่า 10% ทางพื้นฐานจึงปรับคำแนะนำจากถือเป็นซื้อ แม้อัตราการเติบโตของกำไรไม่สูงนัก แต่มีความโดดเด่นในแง่ผลตอบแทนในเชิงปันผล คาด 6-7% ต่อปี จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบปันผล
อย่างไรก็ดี ระยะสั้นหุ้นขาดความน่าสนใจจากงบไตรมาส 3/64 ที่หดตัว แต่มองว่าตลาดรับรู้ไปบางส่วนแล้วจากราคาหุ้นที่ปรับลง 8% นับจากการออกมาตรการควบคุมตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจหาจังหวะเข้าทยอยสะสมเพื่อรอรับการฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/64 และต่อเนื่องในไตรมาส 1/65 โดย Key Catalyst คือ Pent-up demand หลังคลายล็อกดาวน์ ส่วน Key Risk คือ การแพร่ระบาด COVID-19, ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น, การขาดแคลนแรงงานในภาคก่อสร้าง และเหตุการณ์วิกฤตอุทกภัย