ส่อวุ่น! พบ “ประธานออดิท” STEC ควบที่ปรึกษาการเงิน เบื้องหลังล้มดีล-เบี้ยวผู้ถือหุ้น

ส่อวุ่น! พบ "ประธานกรรมการตรวจสอบ" STEC ควบตำแหน่งที่ปรึกษาการเงิน เบื้องหลังล้มดีล-เบี้ยวผู้ถือหุ้น


จากกรณีบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC แจ้งข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2564 มีมติอนุมัติไม่เข้าทำรายการซื้อกิจการ บริษัท เอส ที ไอ ที จำกัด (STIT) ต่อจากทาง บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI

โดยให้เหตุผลว่า เนื่องด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดการระบาดอย่างรุนแรงระลอกใหม่ ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 และยังรุนแรงมากยิ่งขึ้นหลังเดือน เม.ย.2564 จนถึงปัจจุบันยังคงระบาดอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศโดยรวมทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสังคม การเปิดประมูลงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐล่าช้าออกไป รวมทั้งงานก่อสร้างของภาคเอกชนยังชะลอออกไปเช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่ายังไม่ฟื้นตัวในระยะเวลาอันใกล้ อันจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการลงทุนในกิจการของ STIT

ทั้งนี้เพื่อความแน่ชัดในการเข้าไปซื้อหุ้น STIT ได้คุ้มเสียหรือไม่ หลังจากเจอวิกฤตโควิด-19 กดดัน ดังนั้นทาง STEC ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ชี.เจ. มอร์แกน จำกัด” ในการร่วมกันจัดทำประมาณทางการเงินใหม่ ภายใต้สมมติฐานที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ พบว่าการเข้าทำรายการดังกล่าวจะทำให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (Equity IRR) ลดลงเหลือ 0.16% จากเดิมที่ประเมินไว้ 16.53% ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน

นอกจากนี้ทาง STEC ได้เจรจาสอบถามราคาซื้อขายกิจการ “STIT” กับทาง STPI และได้รับคำตอบยืนยันราคาเดิม ทั้งสองฝ่ายจึงไม่บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งพิจารณาด้วยหลักความระมัดระวัง รวมถึงเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น เห็นว่าการลงทุนซื้อกิจการของ STIT ในราคาและเงื่อนไขการชำระเงินเดิมไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่เข้าทำรายการซื้อกิจการ

ต่อมาทางข่างหุ้นออนไลน์ เข้าไปสำรวจตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บริษัท ชี.เจ. มอร์แกน จำกัด ซึ่งทาง STEC ได้ว่าจ้างมาเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนั้น พบว่า มีรายชื่อ นายชำนิ จันทร์ฉาย ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการอยู่ ทั้งที่ในปัจจุบัน นายชำนิ ยังดำรงตำแหน่ง กรรมการอิสระ และประธานกรรมการตรวจสอบของ STEC อยู่เช่นกัน

ดังนั้น จึงเป็นที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีการยกเลิกซื้อกิจการ STIT ว่าเป็นการพิจารณาชอบธรรมว่าด้วยข้อเท็จจริงและโปร่งใสหรือไม่อย่างไร?

Back to top button