จับตา TU กำไรปี 64 โตแกร่ง รับธุรกิจอาหารสัตว์-ค่าเงินบาทอ่อน พร้อมดันลูกเข้าตลาด

จับตา TU กำไรปี 64 โตแกร่ง รับธุรกิจอาหารสัตว์ขยายตัวต่อเนื่อง ได้รับนิสงส์เงินบาทอ่อนค่าหนุน พร้อมดันลูกเข้าตลาดในอนคต โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” เคาะเป้า 30 บ. อัพไซด์ 39%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ซึ่งนักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักต่างมองว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า อีกทั้งธุรกิจอาหารสัตว์ยังขยายโตอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมองว่ามีปัจจัยบวกจากแผนการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอนาคตอีกกด้วย

โดยบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มอง TU เป็น Innovative Company ไม่ใช่เพียง Tuna Company อีกต่อไป ภายหลังเห็นทิศทางและกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ Innovative Product สำหรับคนและสัตว์เลี้ยง จนเริ่มเห็นสัดส่วนรายได้กลุ่มนี้ทยอยสูงขึ้น ช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพิงรายได้จากทูน่า คาดกำไรปี 2564-2565 เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามลำดับ

ทั้งนี้จะมีการปลดล็อคมูลค่าแฝงของบริษัทลูกการ Spin-Off ธุรกิจอาหารสัตว์เศรษฐกิจในไตรมาส 4/64 และอาหารสัตว์เลี้ยงในไตรมาส 3/65  นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการลงทุนภายใต้แนวคิด ESG ซึ่ง TU เป็นบริษัทแรกในกลุ่มอาหารที่ได้เตรียมความพร้อมมานานกว่า 8 ปี และเริ่มเห็นผลบวกที่เป็นรูปธรรมแล้ว แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 30 บาท

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ มองว่าการปรับโครงสร้างภายใน รวมถึงการทยอยนำบริษัทลูกที่ถืออยู่ทั้งหมด TFM และ ITC เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ รวมถึงแผนระยะยาวที่จะนา RL เข้าไปจดทะเบียนเช่นกัน เป็นการปลดล็อกสินทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในบริษัท นอกจากธุรกิจหลักที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงการขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทยอยเก็บดอกผลในช่วงถัดไป ทั้งนี้คาดการผลดำเนินงานปี 2564 ยังเติบโตที่ 7,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบจากปีก่อน อีกทั้งหากพิจารณาราคาปัจจุบันซื้อขายบน P/E ไม่ถึง 14 เท่ามีส่วนลดมากเกินไป และไม่สะท้อนปัจจัยบวกต่างๆ ที่มีในตัว จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 27 บาท

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท อิง PER ปี 2564 ที่ 18 เท่า โดยเรามองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปัจจัยการเติบโตหลักมาจากธุรกิจ Value added ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงเป็นหลัก และการนำบริษัทลูกเข้าตลาดจะเป็นการ unlock hidden value ของกลุ่มบริษัท

โดยทั้ง 2 บริษัทดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารสัตว์ ได้แก่ อาหารสัตว์น้ำ ( TFM) และอาหารสัตว์เลี้ยง (I-Tail) โดยทั้ง 2 บริษัทมีรายได้คิดเป็นประมาณ 15% ของรายได้รวม และรายได้เติบโตต่อเนื่องและมี gross margin ที่สูงกว่า gross margin รวมของบริษัท นอกเหนือจากนี้บริษัทยังมีแผนจะนำบริษัท red lobster เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า โดยมองว่าการนำ I-Tail เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2565 น่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตดี และมี gross margin ที่ดีอยู่ที่ 20-26% โดยปัจจุบัน TU มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 2 ของเอเชีย และมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 15 ของโลก แสดงให้เห็นถึง room ในการเติบโตได้อีกมาก

ทั้งนี้ชอบแผนการขยายธุรกิจของ TU ในอนาคตเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะเน้นไปยังธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงเป็นหลัก และเป็นการต่อยอดจากธุรกิจปัจจุบันโดยการนำ by product จากปลาทูน่าไปใช้ทั้งในส่วนของอาหารสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำอยู่แล้ว บริษัทอยู่ระหว่างทำธุรกิจ value added อีก 3 ธุรกิจได้แก่ Ingredients, supplement และ Plant based food โดยคาดว่าทั้ง 3 ธุรกิจใหม่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทคิดเป็น 10% ของรายได้รวมในปี 2568

โดยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 7,116 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และกำไรสุทธิปี  2565 อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปีก่อน) โดยประมาณการมี upside จากค่าเงินบาทอ่อนค่า

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TU ทำกำไรดีต่อเนื่อง แนวโน้มธุรกิจสำหรับในงวดครึ่งหลังปีนี้ยังมีความมั่นคงสูง แรงสนับสนุนมาจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและธุรกิจ Red Lobster บริษัทมีการลงทุนธุรกิจอาหารด้านนวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมและต่อเติมภาพการเติบโตในระยะยาวได้เป็นอย่างดี สำหรับราคาพื้นฐานเป็น 24.70 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 2565 ที่ระดับ 14 เท่า

Back to top button