ECF มั่นใจโค้งสุดท้ายปี 64 ยอดส่งออกเฟอร์นิเจอร์พุ่ง ดันรายได้โตต่อเนื่อง
ECF เผยธุรกิจโค้งสุดท้ายปี 64 ธุรกิจโตต่อเนื่อง คว้าออเดอร์ลูกค้ารายใหญ่ในอินเดีย หนุนส่งออกเฟอร์นิเจอร์ คาดรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2564 และเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนธุรกิจพลังงาน โรงไฟฟ้าในเมียนมาร์คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2564 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ อีกทั้งบริษัทยังได้รับคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องจากลูกค้า ญี่ปุ่น อเมริกา อินเดีย จีน ส่งผลให้บริษัทมีปริมาณออเดอร์ส่งออกเฟอร์นิเจอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 3 นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจด้วย
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงต่อจากนี้ ทางบริษัทมุ่งเน้นขยายตลาดต่างประเทศในช่วงไตรมาส 3/2564 บริษัทได้รับคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมามีรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและจีน เป็นสำคัญ อีกทั้งบริษัทยังได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหม่ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ประเทศอินเดีย คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/2564 ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 64% และในประเทศอยู่ที่ 36%
ขณะที่ตลาดในประเทศมีการกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางจำหน่ายใหม่ อาทิ ร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศพร้อมกับแผนการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ ล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท บริษัท โซเมว่า พลาซ่า จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจออนไลน์แพลทฟอร์ม และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ในไตรมาส 1/2565 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศ รวมถึงสร้างความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทนที่ผ่านมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 220 เมกะวัตต์ เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ โดยเข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 สำหรับเฟสแรก จำนวน 50 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว สำหรับเฟส 2, 3 และ 4 ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องแม้จะมีสัญญาณความล่าช้าเกิดขึ้นบ้างจากสถานการณ์ COVID-19 และการเมืองภายในเมียนมาร์ โดยคาดว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นครบทั้งสี่เฟสภายในไม่เกินสิ้นปี 2565
ส่วนผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 813.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 587.69 ล้านบาท จำนวน 226.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38.49% และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 30.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.30 ล้านบาท จำนวน 14.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 96.72%