“ดาวโจนส์” ปิดลบ 9 จุด นลท.ขายทำกำไร หลังผิดหวัง “ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ” ต่ำคาด

“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 9 จุด นลท.ขายทำกำไรหลังผิดหวังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐต่ำกว่าคาด ในเดือนก.ย. อีกทั้งคาดเฟดจะเริ่มปรับลดการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณภายในปีนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 ต.ค.) โดยถูกกดดันหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.ย. แต่นักลงทุนก็ยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในปีนี้

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,746.25 จุด ลดลง 8.69 จุด หรือ -0.03%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,391.34 จุด ลดลง 8.42 จุด หรือ -0.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,579.54 จุด ลดลง 74.48 จุด หรือ -0.51%

อย่างไรก็ดีในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 1.20%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.80% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.10%

สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวผันผวนทั้งวันก่อนปิดตลาดลดลง เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด

ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 500,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 366,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.

ทั้งนี้อัตราการว่างงานในเดือนก.ย.ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.80% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2563 โดยลดลงจากระดับ 5.20% ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 5.10%

ส่วนสัญญาอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นได้ปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ย.หรือธ.ค.ปีหน้า

ขณะเดียวกันหุ้นคอมคาสต์ คอร์ป ร่วงลง หลังเวลส์ ฟาร์โกปรับลดราคาเป้าหมายหุ้นคอมคาสต์ซึ่งเป็นบริษัทสื่อ ขณะที่หุ้นชาร์เตอร์ คอมมิวนิเคชันส์ อิงค์ ร่วงลง หลังเวลส์ ฟาร์โก ปรับลดคำแนะนำการลงทุนจาก “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” เป็น “ลดน้ำหนักการลงทุน” โดยหุ้นทั้งสองตัวดังกล่าวถ่วงดัชนี S&P500 และ Nasdaq ลงมากที่สุด

นอกจากนี้หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสาธารณูปโภค ลดลง 1.10% และ 0.70% ตามลำดับ โดยปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในบรรดาหุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500

ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 3.10% สวนทางตลาด หลังราคาน้ำมันทะยานขึ้นมากกว่า 4% ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากภาวะพลังงานตึงตัวทั่วโลกได้หนุนราคาน้ำมันขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 โดยหุ้นเชฟรอนและหุ้นเอ็กซอน โมบิล ทะยานขึ้นมากกว่า 2% และช่วยหนุนดัชนี S&P500 ขึ้นมากที่สุด

ทั้งนี้บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การเริ่มเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐในสัปดาห์หน้า โดยเจพีมอร์แกน เชส และธนาคารรายใหญ่อื่นๆ จะเป็นกลุ่มแรกที่เปิดเผยผลประกอบการ

อีกทั้งนักลงทุนยังจับตาปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน และการขาดแคลนแรงงานทั่วโลกด้วย

           

Back to top button