กกร. ปรับ GDP ไทยแตะ 0.0-1.0% ขานรับมาตรการรัฐกระตุ้นศก.
กกร.ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 ดีขึ้นมาอยู่ในกรอบ 0.0 – 1.0% จากเดิม -0.5 – 1.0% ขานรับมาตรการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ดีขึ้นมาอยู่ในกรอบ 0.0 – 1.0% จากเดิม -0.5 – 1.0%
โดยปัจจัยบวกที่ช่วยเสริมให้ภาพรวมเศรษฐกิจปลายปีน่าจะดีขึ้น คือ มาตรการที่รัฐบาลได้ออกมาในช่วงนี้ เช่น โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ที่ขยายสิทธิเพิ่มอีก 2 ล้านสิทธิ จะเป็นแรงเสริมภาคการท่องเที่ยวในช่วง High-Season แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและตัวเลขการติดเชื้อหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปอีกระยะ
ส่วนการส่งออก กกร.คาดว่า ยังคงขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ภายใต้เงื่อนไขค่าระวางเรือที่ไม่สูงจนเกินไป สามารถควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรมได้ และการฉีดวัคซีนให้แรงงานได้ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2%
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อในปัจจุบันทรงตัวถึงลดลง เนื่องจากแผนการจัดหาและจัดสรรวัคซีนที่ชัดเจน มีการกระจายวัคซีนไปต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยเปิดดำเนินการได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องจับตามองมาตรการผ่อนคลายที่จะออกมากลางเดือน ต.ค.ถึงต้นเดือน พ.ย. ต่อไป
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมทั่วในประเทศ แม้หลายพื้นที่จะเริ่มมีระดับน้ำลดลงบ้าง แต่ยังคงมีพื้นที่เฝ้าระวังหลายแห่ง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาคการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลาง โดยเบื้องต้นประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะกระทบเศรษฐกิจ ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.1% ของจีดีพี
นอกจากนี้ ปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี กระทบต้นทุนการผลิต, การขนส่ง, การเดินทางของภาคธุรกิจ และประชาชนในวงกว้าง ประกอบกับเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้ต้นทุนนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นในอัตราเร่งการอ่อนค่าของเงินบาท แม้ส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออก แต่ธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายสาขาได้รับผลกระทบตามมา แม้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จะมีมติลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนน้ำมันดีเซล เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร แต่ก็เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในขาขึ้น ซึ่งรัฐต้องวางแผนบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมและกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดีหลังจากนี้จะต้องติดตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่เร่งตัวขึ้นอย่างมาก อันเนื่องมาจาก ประการแรก เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประการต่อมา คือ อุปทานตึงตัว และการลดกำลังการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่นโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
รวมทั้งทำให้อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวทั่วโลกปรับตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจตัดสินใจลดการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเร็วกว่าที่ประเมินไว้ ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกรวมถึงค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนไปในทิศทางอ่อนค่าได้ในระยะต่อไป
ทั้งนี้ กกร. ได้มีประเด็นข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ดังนี้ สำหรับประการแรก คือ ความคืบหน้าการเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ของประเทศไทย โดย กกร.ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าร่วมการเจรจา CPTPP ซึ่งจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี รมว.ต่างประเทศ และ รมว.พาณิชย์ เพื่อนำเสนอผลการศึกษาของภาคเอกชน และเร่งรัดการพิจารณา เนื่องจากปัจจุบันทางจีน สหราชอาณาจักร และไต้หวัน ได้มีเจตจำนงเข้าร่วมเจรจากับ CPTPP อย่างชัดเจนแล้ว
โดยหากไทยยังล่าช้าไปกว่านี้ อาจทำให้ต้องเจรจาตามเงื่อนไขของประเทศทั้ง 3 เพิ่มเติม จากเดิมที่จะต้องเจรจากับ 11 ประเทศที่เป็นสมาชิก CPTPP ในปัจจุบัน และทำให้ไทยเสียโอกาสในการแข่งขันทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์
โดยก่อนหน้านี้ กกร. ได้เคยทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ถึงจุดยืนของภาคเอกชนและผลการศึกษาของภาคเอกชน เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาของภาครัฐไปแล้ว โดยจะขอให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศจัดประชุมเสวนาเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยเร็ว รวมถึงนำเสนอผลการศึกษาของภาคเอกชน เพื่อสร้างความเข้าใจในภาพรวมของการเข้าร่วมเจรจา CPTPP ของไทย ต่อไป
ส่วนประการต่อมา คือ แนวทางการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (PDPA) ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรเสนอแนวทางให้รัฐบาลดำเนินการแต่งตั้งให้มีตัวแทนภาคเอกชน (กกร.) ร่วมในกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และคณะกรรมการชุดย่อยอื่นๆ รวมถึงพิจารณาเลื่อนการบังคับใช้มาตราที่เกี่ยวกับบทลงโทษ (หมวดที่ 6 และหมวดที่ 7) ออกไปเป็นเวลาอีก 3 ปี และพิจารณาแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เหมาะสมและไม่อุปสรรค
ขณะที่ประการสุดท้าย คือ ผลักดันและสนับสนุนการผลิตและบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยภาคเอกชนจะขอให้กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้เป็นภาคบังคับ และผลักดันให้บัญชีสินค้าที่ได้รับการรับรองฉลากอีโค่พลัส อยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พร้อมทั้ง ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการผลิตและจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ได้รับการรับรองอีโค่พลัส และสนับสนุนให้ภาคเอกชนที่ผลิตและจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้รับการลดหย่อนภาษี 2 เท่า
“กกร.จะนำข้อเสนอแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีในโอกาสที่ได้เข้าพบเร็ว ๆ นี้ โดยมีเรื่อง CPTPP เป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้จะเสนอให้ทำโครงการช้อปดีมีคืนในช่วงเดือน พ.ย.64-ม.ค.65 การเติมเงินโครงการคนละครึ่งเป็น 6 พันบาท/ราย” นายสนั่น กล่าว
อนึ่งการเปิดประเทศนั้นต้องมีความพร้อมที่จะรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งต้องดำเนินการควบคุมไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องปากท้องของประชาชน ซึ่งภาคเอกชนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือดำเนินตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โดยมีบทเรียนจากการจัดทำโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาแล้ว ซึ่งคาดว่าการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะดำเนินการได้อย่างเต็มที่ราวต้นปี 65 ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างโดดเด่น
ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันแพงนั้นจะส่งผลกระทบทบกับทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เป็นเรื่องที่ภาครัฐจะเป็นต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเรื่องค่าขนส่งและค่าสาธารณูปโภค ซึ่งจะส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจถดถอย
ขณะเดียวกัน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงปลายปีจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง