โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” TOA เป้า 40 บ. มั่นใจไตรมาส 4 เริ่มฟื้น หลังปรับราคาขายเพิ่มขึ้น
"ฟินันเซีย ไซรัส” แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TOA ก่อนทยอยฟื้นไตรมาส 4 พร้อมหนุนแผนปรับราคาขายรอบ 2 อีก 3-7% จากความต้องการใช้สีที่เร่งขึ้นเพื่อปรับปรุงคลายล็อกดาวน์ และซ่อมแซมหลังน้ำท่วม รวมถึงทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากการเดินหน้าเปิดประเทศ ราคาเป้าหมายปี 65 อยู่ที่ 40 บ.
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (18 ต.ค.2564) เกี่ยวเนื่องกับข้อมูล บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA โดยมีการประเมินกำไรปกติของไตรมาส 3 ปี 2564 หดตัว 47% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และหดตัว 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยอาจทำได้ราว 290 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ 370 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นคาดปรับลดเป็น 32% ต่ำกว่าเดิม 35% เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ 33.8% และไตรมาส 3 ปี 2563 ที่ 37.2%
ทั้งนี้แม้ปรับขึ้นราคาขาย 5-10% ในรอบแรกครอบคลุม 80% ของพอร์ตตามแผน แต่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าคาด โดยเฉลี่ยไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ 32.9 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ 31.3 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งกระทบโดยตรงต่อวัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศราว 70% ของทั้งหมด รวมถึงราคาวัตถุดิบหลักอย่าง ไทเทเนียมไดอออกไซด์ 15-20% ของต้นทุนรวม ยังทรงตัวสูง และ Oil linked 15% ของต้นทุนรวม ซึ่งปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเป็น 71 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่ยอดขายคาดลดลงเป็น 3.7 พันล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นฤดูฝนเต็มตัว นอกจากนี้ กดดันจากการแพร่ระบาดรอบใหม่ทั้งในประเทศที่รุนแรง, มาตรการล็อกดาวน์และคำสั่งปิดแคมป์ก่อสร้างในเดือนก.ค. รวมถึงในภูมิภาคที่ติดลบมากกว่าในประเทศจาก COVID-19 ทั้งในเวียดนามและลาว รวมถึงความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมา
ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ปี 2564 คาดฟื้นตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากความต้องการใช้สีที่เร่งขึ้นเพื่อปรับปรุงคลายล็อกดาวน์ และซ่อมแซมหลังน้ำท่วม รวมถึงทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากการเดินหน้าเปิดประเทศ แม้ต้นทุนวัตถุดิบยังกดดันจากราคาน้ามันขาขึ้น คาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล และ ไทเทเนียมไดอออกไซด์ ระดับสูง แต่บริษัทมีแผนปรับขึ้นราคาขายอีก 3-7% เป็นรอบที่ 2 เพื่อบรรเทาผลกระทบต้นทุนวัตถุดิบ ทยอยปรับเพิ่มตั้งแต่เดือนต.ค.ราว 20% ของพอร์ต ก่อนจะครอบคลุม 60% ในสิ้นปีนี้ และเกือบทั้งหมดของพอร์ตใน ไตรมาสแรก ปี 2565 คาดหนุนให้อัตรากาไรขั้นต้นทยอยฟื้นตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เป็น 33-34% ในไตรมาส 4 ปี 2564
อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2564-2565 ลง 14% และ 13% เป็น 1.9 พันล้านบาท ปรับตัวลง5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 2.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน ตามลำดับ โดยปรับสมมติฐานหลักดังนี้ 1) ปรับยอดขายปี 2564-2565 ลง 5% -7% เป็น 1.71 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ 1.83 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน 2) ปรับอัตรากำไรขั้นต้นอย่างระมัดระวังเป็น 33.8%-34.5% จากเดิม 35.8% สะท้อนต้นทุนวัตถุดิบอย่าง Oil linked ตามราคาน้ำมันในปี 2564-2565 คาดเฉลี่ย 67 ดอลลาร์/บาร์เรล เทียบกับปี 2563 ที่ 42 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่ราคาไทเทเนียมไดอออกไซด์ ที่ทรงตัวสูงในปี 2564 ก่อนคาดเป็นขาขึ้นในปี 2565 หลังจีนเผชิญวิกฤตขาดแคลนพลังงาน รวมถึงเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า คาดปี 2564-2565 เฉลี่ย 32.0-32.5 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับปี 2563 ที่ 31.6 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 40 บาท อิง PER เดิม 37 เท่า ระยะสั้นหุ้นอาจถูกกดดันจากแนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 3 ปี 2564 อ่อนแอ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าตลาดเคยประเมิน รวมถึงความกังวลต้นทุนวัตถุดิบ โดยประเมิน Sensitivity ราคาไทเทเนียมไดอออกไซด์และน้ำมันที่เปลี่ยนไปทุกๆ 10% จะส่งผลต่อต้นทุนรวมและอัตรากำไรขั้นต้น 2% และ 1.5% ตามลำดับ รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาท อย่างไรก็ดี งบไตรมาส 3 ปี 2564 คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี ซึ่งตลาดรับรู้ไปบ้างแล้ว รวมถึงเชื่อว่าการปรับขึ้นราคาขายจะควบคุมผลกระทบต้นทุนได้
นอกจากนี้ระยะกลางและยาว มี Story จากการขยายพอร์ตสินค้า Non-Decorative ต่อเนื่องเพื่อมุ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างเบาครบวงจร ยังคงแนะนำ “ซื้อลงทุน” จาก Upside เปิดกว้างมากกว่า 10% และปัจจุบันซื้อขายบนค่า PE ของปี 2565 ที่ 30.5 เท่า