“ฟินันเซียฯ” แนะ “ซื้อ” TACC ชี้กำไร Q3 แตะ 50 ลบ. รับคุมต้นทุน-ค่าใช้จ่ายดี

“ฟินันเซียฯ” เชียร์ “ซื้อ” TACC เป้า 9.50 บ. คาดการณ์กำไรไตรมาส 3/64 โต 50 ลบ. ด้วยจุดเด่นที่ตัวสินค้า นอกจากนี้มีการคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่าในไตรมาส 4 ฟื้นตัวได้ดีกว่าเดิมหลังรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค. 2564) โดยประเมิน บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 จะอยู่ที่ 49.50 ล้านบาท ลดลง 8% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แม้บริษัทจะถูกกระทบจากโควิด-19 ในทางอ้อมจากปัญหา Supply Chain ของลูกค้า รวมถึง Traffic ที่ลดลงจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด คาดรายได้รวมจะชะลอเล็กน้อย 6.80% จากไตรมาสก่อน และลดลง 4.90% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยรวมทางฝ่ายวิจัยมองว่าสินค้าเครื่องดื่มผงของบริษัท ถูกกระทบน้อยกว่าสินค้าประเภทอื่นๆ เพราะยังคงเห็นสินค้าของบริษัทในร้าน 7-11 ขณะที่โรงงานที่บ้านบึงของบริษัท รวมถึงโรงงานของ OEM ยังบริหารจัดการได้ดี ไม่มีปัญหาแรงงานติดเชื้อจนต้องหยุดสายการผลิตแต่อย่างใด จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะยังทรงตัวสูงที่ระดับ 38.30% จาก 38.90% ในไตรมาส 2/2564 และดีกว่า 32.20% ในไตรมาส 3/2563 และคาดส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมจะใกล้เคียงไตรมาสก่อนราว 0.80 ล้านบาท จึงคาดกำไรไตรมาส 3/2564 จะยังเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนได้ ส่วนการลดลงจากไตรมาสก่อนถือว่าสอดคล้องกับปัจจัยฤดูกาลอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/2564 หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์มากขึ้น และการเริ่มเดินทางออกต่างจังหวัด จะช่วยหนุนรายได้ของบริษัทที่อยู่ในปั้มน้ำมันด้วย คาดเห็น Traffic และรายได้ของร้าน 7-11 ฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นบวกต่อรายได้เครื่องดื่มของบริษัทในทิศทางเดียวกัน และคาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจ Character ภายหลังลูกค้าเริ่มเชื่อมั่นและกลับมาทาโปรโมชั่นทางการตลาด

นอกจากนี้ในแง่ต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ต่างๆยังบริหารจัดการได้ดี ทั้งการสั่งซื้อล่วงหน้ายาว 6 – 12 เดือน และการเพิ่มอำนาจการต่อรองด้วยการซื้อคราวละปริมาณสูงขึ้น (รวม Order กันทั้งในนามบริษัทเอง และในนามของ OEM) ทั้งนี้ด้วยรายได้ที่ถูกกระทบจากโควิด-19 ในไตรมาส 3/2564 ทางฝ่ายวิจัยจึงปรับลดกำไรปี 2564 ลง 7.60% เป็น 206 ล้านบาท ยังเป็นการเติบโต 9.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2565 จะกลับมาโตมากขึ้นราว 15% ซึ่งมาจาก (1) ธุรกิจเดิมที่จะเติบโตหลัง COVID-19 คลี่คลายและการขยายไปกัมพูชากับ 7-11 (2) สินค้าใหม่ทั้งในกลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่ม Health and Wellness  (3) การขยายลูกค้า Non-7-11 มากขึ้น เช่น Lotus’s, Bao Café, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย  (4) การจับมือกับพันธมิตรใหม่ Bon Café ซึ่งอยู่ระหว่างวางแผนความร่วมมือและกลยุทธ์ธุรกิจระหว่างกัน คาดจะได้เห็นการร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในครึ่งปีแรก 2565 รวมถึง Synergy ที่จะเกิดขึ้นจาก TACC ที่เชี่ยวชาญเมนู Non-Coffee และ Bon Café ที่เชี่ยวชาญเมนู Coffee และต้องการขยาย Portfolio เพื่อเมนู Non-Coffee ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ TACC สามารถตอบโจทย์ให้ได้ และ (5) ยังอยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชงร่วมกับ TCI คาดจะได้เห็นอย่างเร็วในครึ่งปีแรก 2565

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยจึงประเมินกำไรสุทธิปี 2565 ไว้ 249 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.90% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 9.50 บาท (อิงค่า PE เดิม 23 เท่า) แนะนำ “ซื้อ”

 

Back to top button