“ฟินันเซียฯ” เชียร์ “ซื้อ” JR เป้า 10 บ. มองกำไร Q3 แตะ 52 ลบ. อานิสงส์แบ็คล็อกเต็มมือ

“ฟินันเซียฯ” มอง JR ไตรมาส 3 กำไรแตะ 52 ลบ. จากปริมาณงานในมือที่สูงกว่าปีก่อนอย่างมีนัยยะ จากโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินแนวรถไฟฟ้าสีเหลืองและชมพูเฟสแรก แนะนำ “ซื้อ” ชูเป้า 10 บ.


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ต.ค. 2564) โดยประเมินเกี่ยวกับ บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR ว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 3/2564 ของ JR ที่ 52 ล้านบาท ลดลง 25.40% จากไตรมาสก่อน จากผลของ Full Lockdown เดือน ก.ค-ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าหน้างานได้เต็มที่และทำให้งานเดินหน้าช้ากว่าแผน ทำให้รายได้ในไตรมาส 3/2564 คาดลดลง 19.80% จากไตรมาสก่อน

อย่างไรก็ตามยังคาดกำไรเพิ่มขึ้น 53.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ยกฐานจากปีก่อนอย่างแข็งแรงจากปริมาณงานในมือที่สูงกว่าอย่างมีนัยยะจากโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินแนวรถไฟฟ้าสีเหลืองและชมพูเฟสแรก ขณะที่ Margin อ่อนลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จากผลของ Operating Leverage โดยเฉพาะค่าใช้จ่าย SG&A ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ อย่างไรก็ตามยังคาด Net Margin ยืนตัวเลข 2 หลักที่ 10% ได้ในไตรมาสนี้

สำหรับแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2564 คาดทยอยฟื้นตัวขึ้นหลังมีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และคาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง แต่คาดว่าจะเริ่มกลับมาเต็มที่ได้ในช่วงปลายไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2564 ลง 19% เป็น 236 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการ Lockdown และกระทบการรับรู้รายได้ให้น้อยกว่าแผน อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยปรับปี 2565 ขึ้นเล็กน้อยเป็น 362 ลบ. เพิ่มขึ้น 53.60% จางวดเดียวกันของปีก่อน กลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น

รวมทั้งคาดได้รับงานใหม่เข้ามาหนุน Backlog เพิ่มเติมโดยเฉพาะโครงการใหญ่เปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูเฟสที่ 2 ซึ่งคาดจะเข้ามาหนุน Backlog ทะลุ 1 หมื่นล้านบาทในปีหน้า รวมถึงงานด้านสถานีชาร์จ EV อีกทั้งงานวิศวกรรมในโครงการของอุตสาหกรรม Oil & Gas ที่มีการเริ่มเข้าไปรับงานในช่วงปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยปรับใช้ราคาเป้าหมายของ JR เป็นปี 2565 ที่ 10 บาท (อิง Target PE ที่ 21 เท่า) โดยหากเทียบการเติบโตในปี 2564 – 2566 ที่ 34.10% CAGR คิดเป็น PEG เพียง 0.59 เท่า ซึ่งมองว่าราคาหุ้นที่ปรับฐานลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสะท้อนการชะลอตัวของกำไรระยะสั้นและผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/2564 ไปหมดแล้ว จึงมองเป็นจังหวะในการเข้า “ซื้อ”

Back to top button