ลุ้น SCC กวาดกำไร Q3 หมื่นลบ. รับธุรกิจปิโตรเคมีหนุน
ลุ้น SCC กวาดกำไรไตรมาส 3/64 แตะระดับหมื่นลบ. รับธุรกิจปิโตรเคมีหนุน จับตาไตรมาส 4/64 ฟื้นตัวแกร่ง หลังโควิด-19 คลี่คลาย ดีมานด์ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างเพิ่ม โบรกฯ ประเมินราคาเป้าหมาย 520 บ.
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC หลังเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/2564 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า SCC จะประกาศกำไรประจำไตรมาส 3/2564 ในวันนี้ (26 ต.ค.2564) โดยมองว่ากำไรไตรมาส 3/2564 มีโอกาสเติบโตระดับ 1 หมื่นล้านบาท จากธุรกิจปิโตรเคมีเติบโตดีขึ้น
โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 ของ SCC เติบโต 5% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ลดลง 40% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เป็น 1.03 หมื่นล้านบาท การลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน มาจากสเปรดปิโตรเคมีและมาร์จิ้นซีเมนต์วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ลดลง เพราะต้นทุนสูงวัตถุดิบ ถ่านหิน และค่าขนส่งปรับขึ้น รวมถึงยอดขายซีเมนต์อ่อนลงในช่วงล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม (คาดลดลง 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน) ทั้งนี้ต้นทุนถ่านหินคิดเป็น 20% ของต้นทุนการผลิตซีเมนต์ทั้งหมด
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/2564 มีโอกาสดีขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน หลังผ่อนคลายล็อกดาวน์ ทำให้ยอดขายซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างฟื้นตัว ส่วนผลกระทบจากน้ำท่วมไม่มาก (ผู้บริหารระบุว่าน้อยกว่าผลกระทบจากโควิด) รวมถึงสเปรด PVC ดีขึ้นหลังอุปสงค์ในอินเดียฟื้นตัว รวมถึงมีรายได้เงินปันผลรับจากเงินลงทุนด้วย ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” SCC ประเมินราคาพื้นฐาน 496 บาท
ส่วน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินกําไรสุทธิ SCC ในไตรมาส 3/2564 ที่ 9.5 พันล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ลดลง 44% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ซึ่งคาดว่าจะมีการทำ impairment ธุรกิจซีเมนต์ในพม่าราว 2 พันล้านบาท ถ้าไม่นับรายการพิเศษกำไรปกติจะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ลดลง 33% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้คาดธุรกิจปิโตรเคมี EBITDA ที่ 9.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบจากปีก่อน ลดลง 22% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาที่ปรับลดลงกว่า USD100/ton เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากราคาขายที่ปรับลดลงและต้นทนุ Naphtha ที่ปรับขึ้น
ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (CBM) คาดว่าจะมี EBITDA ที่ 5 พันล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน และลดลง 23% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ได้รับผลจากภาคก่อสร้างหยุดชะงักจากมาตรการ Lockdown คงประมาณการกําไรปี 2564 ที่ 5 หมื่นล้านบาท แต่ปรับกำไรปี 2565 ลงเหลือ 4.2 พันล้านบาท จากต้นทุนพลังงานถ่านหินทีปรับเพิ่มขึ้น และส่วนต่าง HDPE-Naphtha ปรับลด คงคำแนะนํา “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายไปปี 2565 ที่ 475 บาท
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดกำไรไตรมาส 3/2564 จะทรุดลงเหลือ 7,500 ล้านบาท ลดลง 56% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และลดลง 23% เมื่อเทียบจากปีก่อน ถูกกระทบจาก Covid-19 และ การตั้งสำรองธุรกิจปูนซีเมนต์ในเมียนมาร์ ส่วนกำไรปกติจะเท่ากับ 10,000 ล้านบาท ลดลง 42% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน ยังเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย
ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/2564 คาดจะฟื้นตัวดีขึ้นจาก Covid-19 เริ่มผ่อนคลาย ทั้งไทยและภูมิภาคมีการคลายล็อกดาวน์ รวมปี 2564 กำไรจะเด่น 44,892 ล้านบาท เติบโตสูง 32% ในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต แรงหนุนจากทั้งสามธุรกิจ คาดปันผลปีนี้ 16-17 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 3.9%-4.2% คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 520 บาท