PACO คว้างานผลิตชิ้นส่วนแอร์ ป้อนค่ายรถยนต์ใหญ่ รับเงิน 1.2 พันลบ.

PACO คว้างานผลิตชิ้นส่วนแอร์ ป้อนค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 2565-2569 มูลค่าประมาณ 800-1,200 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ไตรมาส 1/65


นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO กล่าวว่า PACO ได้เซ็นสัญญาการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศรถยนต์ จำนวนหลายรุ่น ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกรายหนึ่ง โดยมีอายุสัญญารับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลัก (OEM : Original Equipment Manufacturer เพื่อนำชิ้นส่วนไปใช้ในการประกอบรถยนต์) เป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 2565-2569  ซึ่งสัญญานี้มีมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาทถึง 1,200 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ จะเริ่มการผลิตและรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 1 ปีหน้านี้ ซึ่งธุรกิจการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลักให้ผู้ผลิตรถยนต์ (OEM Part Manufacturing) เป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ และ สัญญาการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลักให้ผู้ผลิตรถยนต์ (OEM) ครั้งนี้  นับเป็นสัญญารับจ้างผลิตชิ้นส่วนหลักมูลค่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือการผลิตและจำหน่ายอะไหล่เครื่องปรับอากาศ (Spare Part) รถยนต์รุ่นต่างๆ เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทวีปต่างๆทั่วโลก

“การเซ็นสัญญา OEM ครั้งนี้ มีความสำคัญต่อ PACO หลายด้าน คือ 1. PACO ได้ขยายธุรกิจเข้าสู่การเป็นผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัว  2. คำสั่งซื้อประมาณ 800 ล้านบาท -1,200 ล้านบาท จะทำให้ฐานรายได้และผลประกอบการของบริษัทมั่นคงยิ่งขึ้น 3. บริษัทมีโอกาสที่จะได้รับออร์เดอร์ จากค่ายรถยนต์ระดับโลกรายอื่นๆอีกมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็น 1 ในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของโลก 4. บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ OEM อย่างชัดเจนภายใน 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งปีหน้าจะรับรู้รายได้ได้เต็มปีทันที” นายสมชายกล่าวเสริม

ทั้งนี้ PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีผลประกอบการ เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 682  ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท ในขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม  397 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากกำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 โดย PACO มีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 ปีนี้  PACO มีอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็น 16.7% สูงกว่าอัตรากำไรสุทธิ เฉลี่ยของผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ที่ประมาณ  5-10% เนื่องจาก PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่เน้นตลาดอะไหล่ทดแทน (Aftermarket Parts) จึงสามารถกำหนดราคาขายสินค้าได้เอง และมีการแข่งขันด้านราคาที่น้อยกว่า

ด้าน นายธเนศ เลิศขจรกิตติ ผู้อำนวยการด้านการตลาด PACO กล่าวว่า ธุรกิจหลักของบริษัทตลอด 30 ปี คือ ผลิตและจำหน่ายอะไหล่แอร์รถยนต์ในตลาด Aftermarket ทั้งในประเทศ และส่งออก ยังมีการเติบโตได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเมือง เปิดประเทศของไทย และ ประเทศต่างๆในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกกลางและเอเชีย ทำให้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างสูง ขณะนี้บริษัทฯมีคำสั่งซื้อไปจนถึงไตรมาส 1 ปีหน้าแล้ว จึงคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการปีนี้และปีหน้ายังเติบโตได้ดี ตามเป้าหมายของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ของโลก คือ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจาก ผลิตภัณฑ์ แบตเตอรี่คูลเลอร์ ซึ่งเป็น 1 ในชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV และ PHEV (Plug-in Hybrid) ซึ่งขณะนี้ PACO ได้ผลิต แบตเตอรี่คูลเลอร์ สำหรับ Tesla ซึ่งเป็น แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก สำหรับรุ่น Tesla Model X และ Tesla 3 ตลอดจน รถยนต์ Plug-in Hybrid แบรนด์ BMW Series 3 และ Series 5 รุ่นปัจจุบัน (G20 และ G30) ซึ่งได้รับความนิยมสูงทั่วโลกโดย PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทดแทนรายแรกของไทย ที่เริ่มเปิดตลาดแบตเตอรี่คูลเลอร์ ทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ

นอกจากนั้นบริษัทฯ ได้ขยายกลุ่มสินค้า ประเภทแอร์รถยนต์แบบครบวงจร ตั้งแต่คอมเพรสเซอร์แอร์ น้ำยาแอร์ ท่อน้ำยาแอร์ และ ขยายไปถึงสินค้าหม้อน้ำรถยนต์ และ อะไหล่ช่วงล่างประเภท ยางต่างๆ เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทและเครือข่ายร้าน PACO AUTO HUB ซึ่งได้ขยายไปแล้วกว่า 300 สาขา

บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ก่อตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี เป็น 1 ในผู้บุกเบิกการผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ของไทย และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อะไหล่แอร์รถยนต์แบบครบวงจร ทั้ง คอยล์ร้อน และคอยล์เย็น สำหรับรถที่มียอดจำหน่ายปานกลางถึงสูง ทั้งรถญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกัน รวมมากถึง 2,600 รุ่น โดยบริษัทฯ มี โรงงานผลิต 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร และศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตบางบอน กรุงเทพมหานคร บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 และได้จำหน่ายสินค้าภายในประเทศ และ ส่งออกไปทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาใต้ เอเชียและออสเตรเลีย

Back to top button