DPAINT เทรดวันแรก! ลุ้นวิ่งชนเป้า 10.40 บ. ชูจุดแข็งผู้นำนวัตกรรม “สีทาอาคาร” รายใหญ่
DPAINT ดีเดย์เทรดวันแรก ลุ้นวิ่งชนเป้าหมาย 10.40 บ. ชูจุดแข็งผู้นำนวัตกรรม "สีทาอาคาร" รายใหญ่ เดินหน้าขยายธุรกิจ - ปรับปรุงโรงงานเพิ่มศักยภาพการผลิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ต.ค.64) หลักทรัพย์ บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,725 ล้านบาท โดยมีบริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัท หลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้ DPAINT มีทุนชำระแล้ว 230 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 176.75 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 53.25 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ไม่น้อยกว่า 39.94 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัท ไม่เกินกว่า 7.99 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ไม่เกินกว่า 5.32 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 19-21 ตุลาคม 2564 ในราคาหุ้นละ 7.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 399.38 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,725 ล้านบาท
โดยการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 32.80 เท่า ซึ่งคำนวณจากจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 – 30 มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 52.60 ล้านบาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 230 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.23 บาท
ด้านนายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DPAINT กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 28 ตุลาคม 2564 นี้ โดยใช้ชื่อย่อ ‘DPAINT’ ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ในธุรกิจสีทาอาคารที่มีความเชี่ยวชาญกว่า 42 ปี พร้อมวางกลยุทธ์ ขยายตลาดสีทาอาคารในประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญทางด้านนวัตกรรม โดยในช่วงไตรมาส 4/64 เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสีคุณภาพพิเศษที่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ที่มีอัตรากำไรสูง และการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มสีดิสนีย์ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ธุรกิจก่อสร้าง และการปรับปรุงที่อยู่อาศัย สนับสนุนความต้องการสีทาอาคารให้เติบโตต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกประสบความสำเร็จเติบโตทั้งยอดขายและกำไร จึงเชื่อว่าจะสนับสนุนความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และสนับสนุนให้ DPAINT ได้รับความสนใจในระยะยาว
โดยบริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นหนึ่งในผู้นำสีทาอาคารของคนไทยที่สามารถยกระดับแบรนด์สู่สากล หลังจากก้าวแรกในปีนี้ บริษัทฯ ได้จับมือกับดิสนีย์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ปฏิวัติอุตสาหกรรมสีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย เงินที่ได้จากการระดมทุน เตรียมนำไปใช้ลงทุนปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร และระบบการผลิตที่โรงงานสุวินทวงศ์ เพิ่มความสามารถในการผลิตและบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งนำไปใช้เป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องผสมสีจำนวน 440 เครื่อง จากปัจจุบันมี 379 เครื่อง เพื่อให้บริการในร้านค้าปลีกและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศยิ่งขึ้นภายในปี 68
รวมทั้ง นำไปใช้ลงทุนในการทำระบบ ERP และใช้ลงทุนสร้างห้อง LAB ภายในปี 65 นอกจากนี้ใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโต และก้าวเข้าสู่ยุคสีเดลต้า 5.0 อย่างมั่นคงและยั่งยืน
น.ส.เดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า DPAINT เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจสีทาอาคาร โดดเด่นด้วยความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สร้างความแตกต่าง อีกทั้งแผนการขยายตลาดที่ประสบความสำเร็จ มีช่องทางการจำหน่ายทั้งตลาดโมเดิร์นเทรด ร้านค้าปลีก และงานโครงการ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561 – 2563) มีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 คิดเป็นการเติบโตของรายได้เฉลี่ย (CAGR) 7.2% ด้านกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 83.7%
ด้านผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 มีรายได้จากการขายและบริการ 387.7 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 31.7% กำไรสุทธิ 32.9 ล้านบาท เติบโต 48.2% อัตรากำไรขั้นต้น 43.3% อัตรากำไรสุทธิ 8.5% และมีกำลังการผลิตในโรงงานแห่งที่ 1 อยู่ที่ 3.24 ล้านแกลลอน/ปี ใช้อัตรากำลังการผลิตในครึ่งปีแรกในระดับมากกว่า 90% ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด หรือ Economy of scale เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้ขยายการเติบโตตามเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ จึงมองว่า จะสนับสนุนโอกาสให้ DPAINT เติบโตก้าวกระโดดได้ในอนาคต
ด้าน นางจารีรัตน์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ DPAINT ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 53.25 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 7.50 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ รวมถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต
อนึ่ง DPAINT และบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร (Decorative Paint) ภายใต้ตราสินค้า DELTA, TOPTECH, NATIONAL, SEAFCO เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทแบ่งเป็น สีคุณภาพพิเศษ สีคุณภาพสูง และสีคุณภาพคุ้มค่า ซึ่งในปี 2563 มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 35 : 28 : 37 ตามลำดับ โดยมีกลุ่มลูกค้า ได้แก่ ผู้รับเหมาและช่างทาสี เจ้าของที่พักอาศัย และเจ้าของโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน โดยกลุ่มบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าผ่านร้านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) ร้านค้าปลีก (Retail) และงานโครงการ (Project) ซึ่งในปี 2563 มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 42 : 52 : 6 ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังให้บริการเครื่องผสมสีที่นำไปติดตั้งให้ลูกค้าที่เป็นร้านค้าใช้งาน
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า DPAINT นำนวัตกรรมใหม่มาใช้ต่อยอดสินค้าทั้งเทคโนโลยีสูญญากาศและเครื่องผสมสี ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งคุณภาพและราคา ขณะที่อุตสาหกรรมเอื้อต่อการเติบโต มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคก่อสร้าง โดยเฉพาะ อสังหาริมทรัพย์ สนับสนุนความต้องการใช้สีเร่งตัวขึ้น โดยประเมินมูลค่าหุ้น DPAINT อิง PER ที่ 29 เท่า ได้ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 9.80 บาท
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต จากการใช้กำลังการผลิตใหม่ ที่จะรับรู้รายได้เต็มปีใน 2565 แผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการลงทุนในเครื่องผสมสีขยายตลาดสีทาอาคาร จึงประเมินมูลค่าของ DPAINT โดยอิง PER ในปี 2565 ที่ 31.8 เท่า จะได้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 10.40 บาท ซึ่งน่าสนใจเมื่อเทียบกับประมาณการณ์ราคา IPO ที่คาดว่าจะอยู่ที่ PER ราว 21-22 เท่า