TU โชว์กำไร 9 เดือนทะลุ 6 พันลบ. รับยอดขายธุรกิจแช่แข็ง-อาหารสัตว์โต
TU รายงานกำไร 9 เดือนแรกของปีโตทะลุ 6 พันลบ. รับยอดขายอาหารทะเล-อาหารแช่แข็ง รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงโต หลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (8 พ.ย. 64) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3/2564 ยังคงแข็งแกร่งด้วยยอดขายและกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เริ่มคลี่คลาย และกลับมาดำเนินชีวิตปกติในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ทั้งการกลับเข้าทำงานในสำนักงาน การรับประทานอาหารในร้านอาหารและกิจกรรมนอกบ้าน
โดยยอดขายในช่วงเดือน ก.ค.- ก.ย. 2564 อยู่ที่ 35,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรขั้นต้นเติบโตอยู่ที่ระดับ 1% อยู่ที่ 6,391 ล้านบาท แม้กำไรสุทธิจะลดลง 5.8% แต่ยังคงทำผลงานได้อย่างเข้มแข็งอยู่ที่ 1,937 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 3/2564
สำหรับภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญของ TU เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย รวมถึงมีการผ่อนปรนมาตรการล็อคดาวน์และข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องน้อยลง ส่งผลให้ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของไทยยูเนี่ยนมียอดขาย อยู่ที่ 14,954 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับการที่ร้านอาหารต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้น 11% อยู่ที่ 14,843 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่ง เติบโต 11.4% อยู่ที่ 5,742 ล้านบาทในไตรมาส 3/2564
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3/2564 มีผลประกอบการที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน ในปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยยอดขายในไตรมาส 3/2562 อยู่ที่ 31,838 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 5,077 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2564 มียอดขายอยู่ที่ 102,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 % และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 6,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%
ด้านนายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยธุรกิจหลักสามารถทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ ผู้บริโภคได้ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าที่เน้นสุขภาพและโภชนาการในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เมื่อสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง ทั้งแบรนด์และสินค้าของบริษัทยังได้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง โดยทางไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และสอดคล้องไปกับเป้าหมายของบริษัทในการที่จะดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป
นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ 10% เป็นมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ในบริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ทั้งวัตถุแต่งรส สี และสารปรุงแต่งอาหารหลากหลายชนิด ทั้งนี้ ทาง RBF นั้น มีความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมผลิตส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น วัตถุแต่งกลิ่นธรรมชาติ หรือสารสกัดจากกัญชง จะช่วยเสริมทั้งในส่วนของสินค้าหลักและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของไทยยูเนี่ยน รวมไปถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยง
โดยภายในเดือนเดียวกันนี้ TU ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนคุณภาพสูง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และความร่วมมือนี้จะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิลและย่อยสลายได้ ทั้งหมด 100% สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัท ภายในปี 2568
นอกจากนี้ TU ยังได้รับการยอมรับในด้านความสามารถในการแข่งขันและความแข็งแกร่งของธุรกิจ จากการจัดอันดับเครดิตจาก “ทริส เรทติ้ง” อยู่ที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มเป็นบวก และได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก “Japan Credit Rating” อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งเป็นการจัดอันดับเครดิตองค์กร สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ โดยแนวโน้มของเครดิตอยู่ในระดับคงที่ และอันดับเครติดองค์กร A- ที่บริษัทได้รับนั้นเป็นระดับเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับในฐานะ “ผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลกที่มีธุรกิจกระจายตัวทั่วโลกและมีความมั่นคงทางรายได้”
อีกทั้ง TU ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการเงิน Blue Finance หรือการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อมหาสมุทรและอุตสาหกรรมอาหารทะเลโดยรวม ในไตรมาส 3/2564 ไทยยูเนี่ยนได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนอายุ 7 ปี ในประเทศไทยและมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 2.23 เท่า โดยเมื่อต้นปี 2564 ไทยยูเนี่ยนได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยและญี่ปุ่น
“ไทยยูเนี่ยนยังคงดูแลการเงินของเราอย่างต่อเนื่องและตอบรับนวัตกรรมทางการเงิน ด้วยกลยุทธ์ Blue Finance เราได้ตั้งเป้าในการบริหารจัดการการเงินของบริษัทให้เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้ถึง 50% ภายในปี 2565” นายธีรพงศ์ กล่าว
โดยในไตรมาส 3/2564 ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ บริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือ เป็นบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงในไตรมาส 3/2564 TU ยังคงเดินหน้าดูแลชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงระหว่างเดือนเม.ย.-ส.ค. 2564 โดยบริษัทได้มอบอาหารมากกว่า 326,000 ชุดให้กับชุมชน ภายใต้โครงการไทยยูเนี่ยนแคร์ ผ่านหน่วยงานภาครัฐ องค์กรอิสระ โรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ
นอกจากนี้ TU ยังได้ส่งมอบอาหารมากกว่า 3.3 ล้านชุดให้กับชุมชนต่างๆ ทั่วโลก และมอบอาหารแมวเบลล็อตต้า และอาหารสุนัขมาร์โว่ ไปแล้วกว่า 78,000 กระป๋อง และอาหารสุนัขชนิดเม็ดมากกว่า 4,000 กิโลกรัม ให้กับสถานที่พักพิงสัตว์ องค์กรสัตว์เลี้ยง และอาสาสมัครทั่วประเทศไทย