“ฟินันเซียฯ” เชียร์ “ซื้อ” TU ชูเป้า 30 บ. ชี้กำไรปีนี้แตะ 7.45 พันลบ.
“ฟินันเซียฯ” แนะ “ซื้อ” TU เคาะเป้า 30 บ. ชูกำไรปีนี้แตะ 7.45 พันลบ. หลังมองแนวโน้มกำไร Q4 ทรงตัว คาดเป็นโลวซีซั่นของธุรกิจ แต่กำไรจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 1/65
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (9 พ.ย. 2564) โดยประเมิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ว่า บริษัทฯ ได้รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 เท่ากับ 1,937 ล้านบาท ลดลง 20.90% จากไตรมาสก่อน และลดลง 5.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวม FX Gain 330 ล้านบาท และเงินประกันจากไฟไหม้ 63 ล้านบาท จะมีกำไรปกติเท่ากับ 1,544 ล้านบาท ลดลง 34.10% จากไตรมาสก่อน และลดลง 28.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าคาด (ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติไว้ 1,786 ล้านบาท) มาจากค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาด จากต้นทุนค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นเป็น 468 ล้านบาท จาก 200 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2564 ทำให้ SG&A to Sale ขยับขึ้นเป็น 12.70% จาก 11.60% ในไตรมาส 2/2564 และในไตรมาส 3 ขยับขึ้นเป็น 12.40%
ทั้งนี้บริษัทฯ เผชิญปัญหาแรงงานติดเชื้อที่สงขลาแคนนิ่งช่วงต้นไตรมาส ทำให้รายได้ Pet Care ลดลง 5.20% จากไตรมาสก่อน แต่ยังเพิ่มขึ้น 8.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กลุ่ม Ambient ลดลง 4.20% จากไตรมาสก่อน และลดลง 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนกลุ่ม Frozen ยังโตต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 11.70% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามการ Reopen ในต่างประเทศ ทำให้รายได้รวมในไตรมาส 3/2564 ค่อนไปทางทรงตัวทั้งจากไตรมาสก่อนและจากงวดเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งอัตรากาไรขั้นต้นแผ่วลงเป็น 18% จาก 19% ในไตรมาส 2/2564 และในไตรมาส 3/2563แผ่วลงเป็น 18.20% สำหรับส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมพลิกเป็นขาดทุนเล็กน้อย ลดลง 3 ล้านบาท จากเพิ่มขึ้น 258 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 แต่ดีขึ้นจากที่ ลดลง 74 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2564 มาจาก Red Lobster ที่ยังประสบผลขาดทุนตามฤดูกาล ส่วน Avanti มีกำไรลดลงจากปัญหาการ Recall สินค้าและผลกระทบ COVID ในอินเดีย
ด้านกำไรสุทธิงวด 9 เดือนของปี 2564 เท่ากับ 6,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมรายการอัตราแลกเปลี่ยน จะมีกำไรปกติ 5,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.60% คิดเป็นสัดส่วน 79% ของประมาณการทั้งปี แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2564 น่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน อยู่ที่ระดับ 1.50 – 1.60 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะเป็น Low Season ของธุรกิจ และคาดกำไรจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 1/2565 จากการกลับมา Operate โรงงานได้ปกติอย่างเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 รวมถึงสถานการณ์ COVID ที่คลี่คลายต่อเนื่อง หนุนทั้งการเติบโตของรายได้ในประเทศและรายได้ส่งออก
ขณะที่ราคาอลูมิเนียมตลาดโลกเริ่มปรับลดลงล่าสุดราคาเฉลี่ยเดือน พ.ย. อยู่ที่ 2,636 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลง 10.70% ลดลงจากเดือนก่อน หากยังทยอยปรับลงได้ต่อเนื่องจะทำให้แรงกดดันด้านต้นทุนในปี 2565 ผ่อนคลายลง เพราะบริษัทฯ มีสต็อกอลูมิเนียมราคาต่ำพอใช้ถึงสิ้นปี 2564 (จากการทำ Sensitivity ของทางฝ่ายวิจัยพบว่าราคาอลูมิเนียมที่ปรับขึ้นทุก 10% จะกระทบกำไร 4% และกระทบเป้า 1 บาท/หุ้น)
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ไว้ตามเดิมที่ 7.45 พันล้านาท เพิ่มขึ้น 19.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2565 ไว้ตามเดิมที่ 7.63 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคงราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 30 บาท (อิง SOTP, Implied PE 20 เท่า) คงคำแนะนำ “ซื้อ”