โบรกฯชี้ SC กำไร Q4 โตแตะ 600 ลบ. รับแผนเปิด 4 โครงการใหม่ – รับรู้เแบ็กล็อกต่อเนื่อง
“ฟินันเซีย” มอง SC กำไรไตรมาส 4 แตะ 600 ลบ. หลังแนวราบที่กลับมาเร่งก่อสร้างหลังปิดแคมป์ โดยคาดมีแบ็กล็อกราว 4.2 พันลบ. จากโครงการบ้าน-คอนโดหนุน และสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทิวเคราะห์ (11 พ.ย.2564) โดยประเมิน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ว่า บริษัทฯ ได้รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 เป็นไปตามที่ทางฝ่ายวิจัยคาด ซึ่งทำได้ 545 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ถือว่าดีกว่ากลุ่มอสังหาฯ ที่ลดลงจากทั้งไตรมาสก่อนและจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยยอดโอนอยู่ที่ 4.50 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2564 แต่ลดลง 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากฐานสูง
รวมทั้งผลกระทบของคำสั่งปิดแคมป์ก่อสร้าง 1 เดือน และมาตรการล็อกดาวน์ อีกทั้งค่าใช้จ่ายบริหารที่เพิ่มขึ้น 28 ล้านบาทเทียบกับไตรมาส 2/2564 เพื่อป้องกัน COVID ให้กับพนักงานและแรงงานก่อสร้าง เป็นแรงกดดันให้ผลประกอบการหดตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดีมีปัจจัยหนุนให้กาไรเติบโตได้จากไตรมาสก่อน จากสัดส่วนยอดโอนแนวราบที่ขยับขึ้นเป็น 84% ของยอดโอนรวม เทียบกับ 79 – 80% ในไตรมาส 2/2564 และไตรมาส 3/2563 หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นการขายอสังหาฯ ปรับขึ้นเป็น 30% จากไตรมาส 2/2564 ที่ 29% และไตรมาส 3/2563 ที่ 28% เนื่องจากแนวราบมีมาร์จิ้นดีกว่าคอนโดที่ทำโปรโมชั่น
สำหรับกำไรงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 คิดเป็น 77% ของคาดการณ์ทั้งปี ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2564 คาดเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนและจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเบื้องต้นประเมินที่ระดับ 550 – 600 ล้านบาท ขับเคลื่อนจากแนวราบที่กลับมาเร่งก่อสร้างหลังปิดแคมป์ โดยคาดมี Backlog รอรับรู้ราว 4.20 พันล้านบาท หนุนด้วยแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/2564 เป็นแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 5.80 พันล้านบาท ซึ่ง SC เป็นรูปแบบบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้มีบางส่วนสามารถรับรู้ได้ทันทีเมื่อเปิดตัว
นอกจากนี้ยังเร่งระบายสต็อกคอนโดเหลือขายที่มีอยู่ 5.50 พันล้านบาทในช่วงท้ายปี ท่ามกลางสถานการณ์การขายที่ดีขึ้นหลัง COVID-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ประมาณการกำไรปี 2564 ของทางฝ่ายวิจัยทรงตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 1.90 พันล้านบาท อาจมี Upside เป็นขยายตัวได้เล็กน้อย 5 – 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคงราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 3.90 บาท (อิงค่า PER ที่ 7.50 เท่า) สำหรับปี 2565 ยังมุมมองบวก โดยคงประมาณการกาไร 2.10 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนจากแผนรุกเปิดแนวราบใหม่จำนวนมากซึ่งมองว่ายังได้รับผลตอบรับดีจากการครองส่วนแบ่งตลาดของบ้านเดี่ยวระดับบนสูงสุด บวกกับเริ่มโอนกรรมสิทธิ์คอนโด 3 โครงการในไตรมาส 4/2565
ขณะเดียวกันราคาหุ้นปรับขึ้นเร็วเพิ่มขึ้น 10% ภายใน 1 เดือน สะท้อนแนวโน้มงบไตรมาส 3/2564 ที่ออกมาเด่นกว่ากลุ่มฯแล้ว ทำให้ปัจจุบันมี Upside ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย จึงปรับลดคาแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” หรือ “ซื้อ” เมื่ออ่อนตัว