เปิด 5 หุ้นงบไตรมาส 3 ต่ำคาด! โบรกหั่นเป้า-ลดประมาณการกำไรปี 64
เปิดชื่อ 5 หุ้นผลประกอบการงวดไตรมาส 3/64 ต่ำคาด! โบรกลดคำแนะนำ-หั่นเป้า พ่วงปรับลดประมาณการกำไรปี 2564-65
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนที่มีการรายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 ออกมาต่ำกว่าที่ได้มีการประเมินจากทางนักวิเคราะห์ไว้
โดยวันนี้ “ทีมข่าว” ขอยกบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานการต่ำกว่าคาดการณ์ และถูกปรับลดประมาณกำไรในปี 2564-65 รวมถึงปรับลดคำแนะนำ และราคาหุ้น จำนวน 5 บริษัท ดังนี้
1) บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ระบุในบทวิเคราะห์ (12 พ.ย.64) คงคำแนะนำ “ขาย” ราคาเป้าหมาย 3.90 บาท หลังรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/64 มีผลขาดทุน 57 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท ต่ำกว่าคอนเซ็นซัสที่คาดการณ์ว่าจะมีผลขาดทุน 10 ล้านบาท
ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนเนื่องจากมาตรการการปิดแคมป์คนงนในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งงานของบริษัทได้รับผลกระทบมากกว่า 90% ส่งผลให้ราคาได้ปรับตัวลดหนัก อีกทั้งมีบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามมาตรฐานบัญชี ซึ่งส่วนใหญ่มาจากบริษัทลูกในเมียนมา
ทั้งนี้ มีการปรับลดผลการดำเนินงานปี 2564 เป็นขาดทุนสุทธิ 31 ล้านบาท จากเดิมคาดการณ์กำไร 29 ล้านบาท เพื่อสะท้อนผลประกอบการในงวดไตรมาส 3/64 ที่ต่ำกว่าคาดมาก แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 120 ล้านบาท
2) บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (12 พ.ย.64) ปรับคำแนะนำหุ้น KEX ลงเป็น “ขาย” จาก “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 32 บาท จาก 45 บาท หลังมองว่าผลประกอบการของ KEX ยังไม่ผ่านช่วงเวลาที่แย่ โดยต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างในไตรมาส 3/64 จะยังดำเนินต่อไปอีกอย่างน้อย 3 ไตรมาส เนื่องจากบริษัทใช้มาตรการต่อโควิด-19 อย่างระมัดระวัง
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการลงทุนเพิ่มกำลังการส่งพัสดุเพื่อรองรับปริมาณพัสดุที่เพิ่มขึ้น ส่วนในด้านกลยุทธ์ราคา บริษัทจะใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่รุนแรงขึ้นเพื่อดึงส่วนแบ่งตลาดกลับมาจากคู่แข่ง ในระยะสั้นกลยุทธ์นี้อาจทำให้ KEX มีหลายไตรมาสที่ไม่ดีและอัตรากำไรอาจพลิกเป็นติดลบ แต่ในระยะยาวบริษัทมั่นใจว่าอัตรากำไรจะสามารถเป็นบวกได้
อย่างไรก็ตาม แม้คาดว่าจะมีการฟื้นตัวของกำไรบางส่วนในไตรมาส 4/64 แต่แรงกดดันจากต้นทุนจากการขยายกำลังการขนส่ง และกำลังการขนส่งสำรองเพื่อรองรับโควิดยังอยู่ต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยสามไตรมาส จึงปรับคาดการณ์กำไรลง 35% ตั้งแต่ปี 2564 เพื่อสะท้อนฐานต้นทุนใหม่จากการขยายกำลังการผลิต
3) บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ระบุในบทวิเคราะห์ (12 พ.ย.64) ปรับคำแนะนำลงเป็น “ขาย” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 10.00 บาท อิง จากเดิมที่ 12.00 บาท หลังบริษัทรายงานขาดทุนสุทธิในไตรมาส 3/64 ที่ -84 ล้านบาท โดยขาดทุนมากกว่าตลาดคาดที่ -9 ล้านบาท จากรายได้ลดลดทั้้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อน จากรายได้ขายไก่เนื้อลดลง ด้าน Gross margin ที่ปรับตัวลงมากมาอยู่ที่ 5.4% จากราคาวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น รวมถึง SG&A/Sales ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 10.8% จากต้นทุนค่าส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนลดลงมาอยู่ที่ 20 ล้านบาท ลดลง 56% จากปีก่อน และลดลง 79% จากไตรมาสก่อน จากส่วนแบ่งกำไรของ GFN ลดลง
พร้อมกันนี้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564/65 ลง -47%/-16% อยู่ที่ 162 ล้านบาท (ลดลง 89% จากปีก่อน) และ 827 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 410% จากปีก่อน)
อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานจะยังถูกกดดันจากปัจจัยต้นทุนอาหารสัตว์และค่าระวางเรือที่ยังสูงอย่างน้อยจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2565 รวมถึงในช่วงไตรมาส 1/65 ธุรกิจจะเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นทำให้อาจจะเห็นผลการดำเนินงานหดตัวจากไตรมาสก่อน รวมถึงมองว่าประมาณการปี 2565 ยังมี downside risk อยู่ จึงแนะนำ “ขาย” หุ้นออกไปก่อน
4) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ระบุในบทวิเคราะห์ (5 พ.ย.64) ยังคงแนะนำ “ขาย” พร้อมปรับกำไรสุทธิปี 2564 ลงจากเดิม 20% เป็น 398 ล้านบาท ลดลง 44% จากปีก่อน เนื่องจากกำไรไตรมาส 3/64 ที่ต่ำและแบ็กล็อกที่จะโอนในไตรมาส 4/64 ยังต่ำเพียง 580 ล้านบาท
ขณะที่กำลังซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดล่างยังฟื้นตัวช้า โดยประเมินกำไรไตรมาส 4/64 จะยังคงลดลงจากปีก่อนมาก แต่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนจากฐานต่ำ
สำหรับปี 2565 ยังคงประเมินกำไรสุทธิที่ 680 ล้านบาท โต 71% จากปีก่อน เป็นการฟื้นตัวจากฐานต่ำ ซึ่งยังคงเป็นระดับต่ำกว่าฐานกำไรในอดีตที่มากกว่า 1 พันล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรปี 2565 ที่ดีขึ้นเนื่องจากจะมีคอนโดใหม่เริ่มโอน 4 โครงการ จากปี 2564 ที่ไม่มีคอนโดใหม่เริ่มโอน ส่วนการผ่อนเกณฑ์ LTV สำหรับการกู้ซื้อบ้าน/คอนโดตั้งแต่สัญญาที่ 2 เป็นต้นไป ประเมินว่า LPN จะได้ประโยชน์ไม่มาก เนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยหลังแรก ขณะที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดต่อการปล่อยสินเชื่อในตลาดกลาง-ล่าง
5) บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ระบุในบทวิเคราะห์ (11 พ.ย.64) คงคำแนะนำ “ถือ” แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเป็น 5.30 บาท จากเดิมที่ 5.40 บาท โดยเป็นผลของการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง หลังบริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/64 ที่ 71 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน, ลดลง 12% จากไตรมาสก่อน หดตัวเป็นไตรมาสแรกตั้งแต่ไตรมาส 2/63) ต่ำกว่าที่คาดที่ 82 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาด
โดยกำไรสุทธิหดตัวจากปีก่อนเนื่องจากรายได้การติดตามลูกหนี้ที่มีคำพิพากษาลดลง ขณะที่ปรับตัวลงจากไตรมาสก่อนจากขาดทุนรถยึดที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้นตาม NPL ที่สูงขึ้นในช่วง COVID-19
ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564/65 ลงเล็กน้อยปีละ -6%/-3% อยู่ที่ 307 ล้านบาท (โต 6% จากปีก่อน) และ 329 ล้านบาท (โต 7% จากปีก่อน) จากการปรับลดรายได้ Non-NII, เพิ่ม cost to income ซึ่งได้รับการชดเชยบางส่วนจาก credit cost ที่ลดลง (เดิมเราคาดที่ 275/263 bps สูงกว่าที่เกิดขึ้นจริงใน 9 เดือนแรกปี 2564 ที่ 203 bps)