งบ 9 เดือน YGG กำไรโต 108% เตรียมเพิ่มทุน 256 ลบ. ย้ายเทรด SET รองรับธุรกิจขยายตัว
YGG เผยงวด 9 เดือนแรกปี 64 กำไรโต 108% เตรียมเพิ่มทุน 256 ลบ. จัดสรรผู้ถือหุ้นเดิม 1:2 ราคาหุ้นละ0.50 บาท พร้อมแจก YGG-W1 ฟรี สัดส่วน 4 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์ เพื่อเดินหน้ายกระดับย้ายเทรด SET เพื่อรองรับโอกาสในการลงทุนของบริษัทในอนาคต
นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2564 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทมีรายได้รวม 68.85 ล้านบาทบาท เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันของปีก่อนรายได้ 8.10 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 30.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 20.20 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 76.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสิทธิ 36.82 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีกำไรปรับเพิ่มขึ้น เป็นการเติบโตของรายได้การให้บริการเกมออนไลน์ Home sweet home survive อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยบริษัทมีรายได้รายได้จากส่วนงานเกมและอินโนเวชั่นในไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 30.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2563 เท่ากับ24% และสำหรับงวด 9 เดือนของปี 64 มีรายได้ 55.50 ล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้น 340% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้จากส่วนงานโฆษณาและภาพยนตร์ในไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 26.07 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 21% เนื่องจาก บริษัทได้มีการโยกทีมงานบางส่วนไปไว้ในส่วนงานทำโฆษณาเกม ขณะที่ส่วนงานด้านภาพยนตร์แอนิเมชั่นในไตรมาส 3/2564 มีรายได้ 12.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2563 เท่ากับ 299% โดยงานด้านแอนิเมชั่นยังมีการเติบโตสูง จากตลาด streaming ในตลาดโลกที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2564 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากส่วนงานเกมและอินโนเวชั่น 44 % รายได้จากงานโฆษณาและภาพยนตร์ 38% และมีรายได้จากส่วนงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น 18 %
ทางด้านนายธนัช กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของบริษัท เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2564 มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน จำนวน 256 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 90 ล้านบาท เป็นทุนจดทำเบียน 346 ล้านบาท โดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 512 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
โดยวัตถุประสงค์การเพิ่มทุน เนื่องจากบริษัท มีแผนที่จะย้ายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนเพื่อให้บริษัท มีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้บริษัท ต้องมีทุนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท รวมทั้งระดมทุน เพื่อรองรับโอกาสในการลงทุนของบริษัท ในอนาคต ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปีข้างหน้า
สำหรับรายละเอียดการเพิ่มทุน บริษัทจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท จำนวน 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering)ในอัตราจัดสรร 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.50 บาท รวมมูลค่า 180 ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทยังมีมติ จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (YGG-W1) จำนวน 90 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W1 ในอัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W1 ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยจะได้จัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W1 ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 4 หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W1 โดยไม่คิดมูลค่า คิดเป็นทุนจำนวน 45 ล้านบาท
“บริษัท กำหนดให้ใบสำคัญแสดงสิทธิYGG-W1 ในอัตราใช้สิทธิ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W1 มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1 หุ้นและกำหนดราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนภายใต้ใบสำคัญแสดงสิทธิ YGG-W1ที่หุ้นละ 12 บาท โดยบริษัทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรร YGG-W1 ในวันที่ 14 ก.พ. 2565” นายธนัช กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 62 ล้านหุ้น (พาร์ 0.50 บาท) เพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผลระหว่างกาล งวด 9 เดือนปีนี้ (1 ม.ค.-30 ก.ย.64) ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 2.90322581 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล คิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 31 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 14 ก.พ. 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 3 มี.ค.2565
อีกทั้ง นายธนัช กล่าวว่า ภายหลังจากที่บริษัทมีการออกและเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น และการจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญ บริษัทจะมีทุนชำระแล้วจำนวน 301 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่กำหนดให้บริษัทที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีทุนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการย้ายจากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังต้องได้รับการอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 4 ก.พ. 2565 เวลา 13.00น. ณ โรงแรมทาวน์อินทาวน์ เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน 256 ล้านบาท และการจัดสรรผู้ถือหุ้นเดิม รองรับการออกวอร์แรนท์และการจ่าย