“คลัง” ชี้เศรษฐกิจไทยปี 65 โต 4% รับแรงหนุนส่งออก-ลงทุนภาครัฐ
“คลัง” ชี้เศรษฐกิจไทยปี 65 โต 4% จากแรงหนุนภาคส่งออกที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่เอื้ออำนวยรวมไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในส่วนของรถไฟฟ้าหรือการลงทุนโครงการต่างๆ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (15 พ.ย. 64) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐถาพิเศษ ในหัวข้อ ยุทธศาสตร์ฟื้นเศรษฐกิจปี 2022 ในงาน WEALTH VIRTUAL FORUM ลงทุนอย่างไร…ให้รวย? โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 65 จะเติบโตได้ 4% โดยหากมองไปในปีหน้า สิ่งที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีนี้ คือ ภาคการส่งออกที่ยังมีขีดความสามารถสูง โดยอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ในระดับที่ช่วยเอื้อต่อการส่งออกซึ่งจะทำให้ภาคส่งออกเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีหน้าได้
นอกจากนี้ ในปี 65 ยังมีเม็ดเงินจากภาครัฐที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกเกือบ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งมาจากเงินงบประมาณรายจ่าย 3.1 ล้านล้านบาท รวมกับเม็ดเงินอีก 3 แสนล้านบาท ที่จะนำออกมาใช้ในปี 65 จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท และยังมีงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีก 3 แสนล้านบาท ซึ่งรวมเป็นทั้งหมด 3.7 ล้านล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในปี 65 รัฐบาลก็จะเริ่มเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล, โครงการรถไฟทางคู่, โครงการรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้นจากการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G
สำหรับภาคเศรษฐกิจจริงนั้น การลงทุนในโครงการต่างๆ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะได้เห็นความคืบหน้าใน 3 ส่วนสำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟ, สนามบิน และท่าเรือ ซึ่งได้ผู้ชนะการประกวดราคาครบแล้ว นอกจากนี้ ยังได้เห็นการส่งเสริมการลงทุนจากข้อมูลของ BOI ที่เพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมกลุ่ม New S-curve และการลงทุนในด้านเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งเครื่องยนต์เหล่านี้จะเป็น New Growth ที่ช่วยสร้างอัตราการเติบโตใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs/Startup ซึ่งเชื่อว่าในปี 65 ภาคธุรกิจในกลุ่มนี้จะต้องมีการปรับตัวมากขึ้นจากการส่งเสริมของภาครัฐ โดยยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมให้การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs/Startup อย่างเข้มข้นมากขึ้น
“ความเชื่อมโยงระหว่างภาคเศรษฐกิจจริงที่ทันสมัย กับ SMEs นั้น จะต้องเชื่อมโยงกันมากขึ้น เพราะการฟื้นเศรษฐกิจในปี 65 รัฐบาลต้องการเห็นการฟื้นตัวอย่างทั่วถึง และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่เฉพาะภาค Modern sector เท่านั้น แต่ในภาคของ SMEs มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ทั้งสินค้าอาหาร สินค้าสุขภาพ ท่ามกลางสถานการณ์ของภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่นักในปีหน้า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุ
นายอาคม ยังเชื่อว่า ภาคเศรษฐกิจการเงิน และตลาดทุนในปีหน้า จะเห็นการเติบโตมากขึ้นจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะในส่วนของสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ ทั้งคริปโทเคอร์เรนซี่ โทเคน อีกทั้งจะมีผู้เล่นรายใหม่ และรายใหญ่เข้ามามากขึ้นจากการเห็นโอกาสในตลาดนี้ ซึ่งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล จะต้องสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนว่าการเทรดจะอยู่ภายใต้กติกาที่เป็นธรรม แม้การลงทุนดังกล่าวจะมีความเสี่ยงก็ตาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเผยเพิ่มเติมว่า ในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลนั้น กระทรวงการคลังมีบทบาทในการสนับสนุนงานด้านต่างๆ เช่น การกำหนดมาตรการทางภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุน ซึ่งจะทำให้โครงการเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้จริง เช่น การใช้รถยนต์ EV ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาปรับโครงสร้างภาษี เพื่อให้มีผู้ผลิตที่เปลี่ยนผ่านจากระบบเดิม ไปสู่ระบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้เป็นสังคมที่ปลอด CO2
นายอาคม กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังจากมีการเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา การดูแลเศรษฐกิจจะต้องทำควบคู่กับการดูแลสถานการณ์โควิด ซึ่งการจะทำให้ 2 เรื่องนี้เดินหน้าไปพร้อมกันนั้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อช่วยกันป้องกันไม่ให้มีการกลับมาระบาดใหม่อีกครั้ง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะต้องมีต้นทุนทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น