ลุ้น MEGA โตต่อเนื่องปี 65 หลังกำไร Q3 “นิวไฮ” รับเทรนด์สุขภาพ โบรกฯชูเป้า 63 บ.
“ฟินันเซียฯ” แนะ “ซื้อ” MEGA เป้า 63 บ. มองโตต่อเนื่องถึงปี 65 หลังกำไร Q3 “นิวไฮ” แตะ 612 ลบ. รับพฤติกรรมการใส่ใจดูแลสุขภาพที่เป็น Mega Trend ในระยะยาว
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (16 พ.ย.2564) โดยประเมิน บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ว่า บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2564 ที่ 612.60 ล้านบาท หากหักกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 78.00 ล้านบาทออกจะเป็นกำไรปกติ 534.60 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เพิ่มขึ้น 13.80% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 56.00% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดีกว่าคาดถึง 27% จากทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าคาด
โดยรายได้ในไตรมาสนี้ทำได้ 3,998.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.20% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 18.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ของธุรกิจแบรนด์ Mega We Care ที่เติบโตดีทุกภูมิภาคโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (78.60% ของรายได้ของธุรกิจแบรนด์) และแอฟริกา (12.60% ของรายได้ธุรกิจแบรนด์)
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 43.30% จาก 41.90% ในไตรมาส 2/2564 และ 38.40% ในไตรมาส 3/2563 เพราะส่วนผสมของรายได้ธุรกิจแบรนด์ Mega We care (มีมาร์จิ้นสูงกว่า Maxxcare) ที่มากกว่า ซึ่งสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้นมากได้ ทั้งนี้ผลประกอบการที่สูงขึ้นและทำจุดสูงสุดสะท้อนว่าค่าเงินจ๊าดของเมียนมาร์ที่อ่อนค่าอย่างรวดเร็วในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาแทบไม่มีผลกระทบต่อ MEGA เนื่องจากยาเป็นสิ่งจาเป็นและฐานลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่ม B+
อีกทั้งกำไรปกติของงวด 9 เดือนของปี 2564 ทำได้สูงถึง 1,358.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน(กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 50.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากรายได้ที่เติบโต 19.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นที่มีพัฒนาการดีขึ้นเป็น 41.40% จาก 38.80% ในงวด 9 เดือนของปี 2563 จาก Product mix และแม้ว่าค่าใช้จ่ายการขายและบริหารจะเพิ่มสูงขึ้นเพื่อการทำการตลาด แต่ EBITDA ก็ยังเพิ่มขึ้น 37.90% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและมี EBITDA margin ถึง 17.20% เพิ่มขึ้นจาก 14.90% ในงวด 9 เดือนของปี 2563
อย่างไรก็ทางฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 2564 – 2566 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% ส่วนใหญ่มาจากการปรับเพิ่มรายได้ทำให้กำไรปกติปี 2564 เติบโตสูงถึง 32.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดเติบโตต่อเนื่อง 13.90% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในปี 2565 จากพฤติกรรมการใส่ใจดูแลสุขภาพที่เป็น Mega Trend ในระยะยาว แม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจจะสูงแต่บริษัทฯ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งในหลายๆตลาด
นอกจากนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 63 บาท หรือคิดเป็น ปี 2565 ที่ Implied ค่า PE 26.50 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีกที่มีค่า PE 28 – 33 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PE ปี 2565 เพียง 20.00 เท่าและ EV/EBITDA เพียง 14.70 เท่า จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”