TFM วางเป้าปี 65 รายได้ 6 พันลบ. บุ๊ครายได้โรงงานอินโดฯ 400 ลบ.
TFM วางเป้าปี 65 รายได้ 6 พันลบ. รับรู้รายได้โรงงานผลิตอาหารกุ้งในอินโดนีเซีย 400 ลบ.-โรงงานปากีสถานโตต่อเนื่อง หลังเพิ่มกำลังผลิต รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ตั้งเป้า 5 ปี “มาร์เก็ตแคป” แตะ 1.5 หมื่นลบ.
นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจไตรมาส 3/2564 และงวด 9 เดือนปี 2564 พร้อมทั้งแผนธุรกิจในช่วงที่เหลือปีนี้และปีหน้าผ่านงาน Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัทคาดว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 4,244.47 ล้านบาท โดยไตรมาส 3/64 ทำได้แล้ว 3,726.26 ล้านบาท และ คาดว่าในไตรมาส 4/2564 ก็น่าจะทำได้ดีต่อเนื่อง จากการปรับปรุงกระบวนการผลิตได้ดีขึ้น, การใช้ Economies of Scale ในโรงงานทำได้ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีกำไรให้มากขึ้น
ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 เติบโตขึ้นเป็นราว 6,000 ล้านบาท จากปีนี้คงเป้ารายได้ไว้ที่ 4,700-4,800 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2565 บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากบริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสม่า เลสทารี จำกัด (TUKL) ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย เข้ามาเต็มปีหรือราว 400 ล้านบาท โดย TFM ถือหุ้นในสัดส่วน 65%
โดยปัจจุบันโรงงานผลิตอาหารกุ้งของ TUKL กำลังการผลิตรวม 36,000 ตัน/ปี ได้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในเดือน ธ.ค.2564 คาดว่าในปีแรกจะมีปริมาณการผลิตราว 10,000 ตัน/ปี และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนเต็มกำลังการผลิตในปี 2567 ซึ่งจะถึงจุดคุ้มทุน (Break Even) ได้ตั้งแต่ปีแรก
นอกจากนี้ บริษัท AMG-Thai Union Feedmill (Private) Limited (AMG-TFM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในประเทศปากีสถาน ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดย TFM ถือหุ้น 51% วางเป้าหมายปี 2565 รายได้ 200 ล้านบาท จากปีนี้ 100 ล้านบาท เนื่องจากยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 15,000 ตัน/ปี ในช่วงเดือน ก.พ.2565 เพื่อรองรับการเติบโตใน 2-3 ปีข้างหน้า จากปีนี้มีกำลังการผลิตอาหารปลา 10,000 ตัน/ปี พร้อมกันนี้ บริษัทยังวางบลงทุนในปีหน้าไว้ที่ 300 ล้านบาท โดยหลักๆ จะใช้ปรับปรุงสายการผลิตโรงงานอาหารกุ้งที่มหาชัย
นอกจากนั้นบริษัทยังวางเป้าหมายรายได้ใน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2569) จะเติบโตเป็น 8,000-10,000 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นเป็น 12,000-15,000 ล้านบาท ตามการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำที่มีการบริโภคมากขึ้น ขณะเดียวกันขนาดของบริษัทก็ไม่ได้ใหญ่มาก จึงมองว่าโอกาสการเติบโตอีกมาก อีกทั้งยังมองโอกาสขยายการลงทุนไปในประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นมองว่ายังมีหลายประเทศที่น่าสนใจ
ขณะที่บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ เป็น 25-30% ในปี 2567 ตามกำลังการผลิตอาหารกุ้งของ TUKL ที่เพิ่มขึ้นเต็ม 36,000 ตัน/ปี และจะสามารถสร้างรายได้ราว 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากในประเทศมากถึง 96.4% ส่วนต่างประเทศอยู่ที่ 3.6%