BRI เคาะราคาไอพีโอ 10.50 บ. ดีเดย์ขายนลท.ทั่วไป 13–15 ธ.ค.นี้
BRI เคาะราคาไอพีโอ 10.50 บ. ปลื้มนักลงทุนสถาบันจองล้นกว่า 10 เท่า โดยจะเสนอขายผู้ถือหุ้น ORI วันที่ 7–9 ธ.ค. ส่วนนลท.ทั่วไป 13–15 ธ.ค.นี้
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 10.00 – 10.50 บาทต่อหุ้น และทำการสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้ออย่างล้นหลามที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 10.50 บาทต่อหุ้น จึงกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย ที่ 10.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น
ทั้งนี้ BRI จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.60 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ขยายการพัฒนาโครงการ ชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ด้านนายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า ในการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ BRI จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Rights) จองซื้อในวันที่ 7 – 9 ธันวาคมนี้ ได้ 3 วิธี ได้แก่ (1) จองซื้อผ่านระบบ Electronic Rights Offering (E-RO) บนเว็บไซต์ www.yuanta.co.th, (2) ยื่นใบจองซื้อ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนรับจองซื้อหุ้นในส่วน Pre-emptive Rights และ (3) จองซื้อทางโทรศัพท์บันทึกเทป (สำหรับผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น) โดยสามารถจองซื้อเกินกว่าสิทธิ (ไม่กำหนดอัตราสูงสุดการจองซื้อเกินกว่าสิทธิ)
อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้น ORI จะได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิ ต่อเมื่อมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น ORI ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นที่จองซื้อตามสิทธิครบถ้วนแล้วเท่านั้น โดยหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินกว่าสิทธิให้เป็นไปตามที่ระบุในแบบไฟลิ่งและหนังสือชี้ชวน
ส่วนนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ จองซื้อในวันที่ 13 – 15 ธันวาคมนี้ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ขณะเดียวกันนางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ เชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยมีโครงการครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ (1) “ไบรตัน” เป็นโครงการบ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัด จับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber), (2) “บริทาเนีย” เป็นโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก, (3) “แกรนด์ บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ (4) “เบลกราเวีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว
อนึ่งบริษัทฯ มีวิชั่นเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัยและยกระดับการใช้ชีวิต โดยการพัฒนาโครงการได้วางกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของโครงการเป็นอันดับแรก เน้นทำเลใกล้แหล่งคมนาคมขนส่งที่สำคัญ เช่น ทางด่วนหรือถนนสายหลัก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นต้น โดยบริษัทฯ มีโครงการบางส่วนอยู่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจังหวัดที่ได้รับประโยชน์จากการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราเติบโตของประชากรสูง แวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
ขณะเดียวกันได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique Design) เพื่อสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยและสร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ โดยยึดหลัก Human Centric ด้วยการศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการพื้นฐานและปัญหาของผู้อยู่อาศัย เพื่อออกแบบบ้านที่สามารถตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ รวมถึงนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการออกแบบบ้านภายใต้แนวคิด B Genius Mode เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการความปลอดภัยภายในบ้านผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ Blue Ocean Strategy โดยเลือกพัฒนาโครงการและพิจารณาทำเลที่ยังมีการแข่งขันไม่รุนแรง
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,028 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 17,550 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท และวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 2565 เช่น โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์ – นครอินทร์ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อุดร-ดุษฎี มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย ระยอง มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2561 – 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 515.47 ล้านบาท 1,561.01 ล้านบาท และ 2,342.09 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 113.16% และมีกำไรสุทธิ 71.65 ล้านบาท 207.14 ล้านบาท และ 348.72 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ส่วนในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการบริหารจัดการและควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ