10 หุ้นอสังหาฯโกยกำไร Q3 ทะลัก! ชู RICHY โตสุด 9 เท่าตัว จับตามาตรการ LTV หนุน Q4 โตต่อ

10 หุ้นอสังหาฯโกยกำไร Q3 ทะลัก! ชู RICHY โตสุด 9 เท่าตัว จับตามาตรการ LTV หนุน Q4 โตต่อ ฟาก AWC,PF,CI,NCH และ WIN นำทีมพลิกกำไร-ลุ้นปีนี้ “เทิร์นอะราวด์”


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” สำรวจผลประกอบการหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3/2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน) ที่มีผลประกอบการเติบโตมากสุด พร้อมทั้งสำรวจกลุ่มหุ้นที่พลิกมีกำไรมานำเสนอ เนื่องจากหุ้นดังกล่าวสามารถทำกำไรสวนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างแข็งแกร่ง

สำหรับหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 10 ตัว แบ่งเป็น หุ้นกำไรเติบโตมากสุด 5 ตัว ได้แก่ RICHY,ROJNA,AMATAV, ASW และ SPALI โดยหุ้นดังกล่าวมีโอกาสทำผลงานปี 2564 เติบโดดเด่นและต่อเนื่องในปีหน้า ขณะที่อีก 5 ตัวเป็นหุ้นที่พลิกมีกำไร ประกอบด้วย AWC,PF,CI,NCH และ WIN โดยหุ้นดังกล่าวมีลุ้นปีนี้กลับมา “เทิร์นอะราวด์” โดดเด่นและโตต่อเนื่องในปีหน้าเช่นกัน

อย่างไรก็ตามต้องจับตาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยมาตรการดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 2564 ถึงสิ้นปี 2565 เพื่อช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะเป็นบวกมากที่สุดต่อบริษัทที่มียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ในมือนั่นเอง

โดยอันดับ 1 ทำกำไรเติบโตมากสุด บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 78.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 934.69% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 7.62 ล้านบาท  โดยบริษัทฯมีรายได้รวมเท่ากับ 420.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 281.50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 202.66 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยหลักจากการโอนรับรู้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจำนวน 282.04 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 219.01 เมื่อเทียบกับปีก่อน

ส่วนงวดเก้าเดือนปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวมเท่ากับ 1,095.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 559.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 104.29 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยหลักจากการโอนรับรู้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจำนวน 582.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 118.87 เมื่อเทียบกับปีก่อน

อนึ่งก่อนหน้านี้ นางสาวอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร RICHY เปิดเผยว่า สำหรับในปี 2564 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 869.06 ล้านบาท  และคงเป้าหมายยอดขายในปี 2564 ไว้ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท แม้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกจะทำได้เกือบ 45% โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ ซึ่งมูลค่าโครงการอยู่ระหว่างการพิจารณา เป็นโครงการแนวราบ จำนวน 2 โครงการ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมขนาด 32 ชั้น จำนวน 1 โครงการ และอีก 1 โครงการ อยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์โควิด-19

สำหรับกลยุทธ์หลักในช่วงที่เหลือของปี 2564 บริษัทจะเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ให้มากขึ้น โดยได้ตั้งหน่วยงานขายออนไลน์อย่างถาวร เพื่อการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การจองซื้อ และการชำระเงิน บน Digital Platform ที่หลากหลายทุกช่องทางการสื่อสาร ซึ่งมีผลตอบรับค่อนข้างดี รวมถึงการจัดโปรโมชั่นเพื่อเร่งระบายสต๊อก ทั้งส่วนลดพิเศษ และโปรโมชั่นที่โดนใจให้ลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เอง หรือลูกค้าที่ซื้อลงทุน มีทั้งการขายแบบให้บริการหาผู้เช่าห้องรายเดือนและแบบรายวัน หรือแบบมีรับประกันผลตอบแทน (Yield Guarantee) ในระยะ 3 ปี

 

อันดับ 2 บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน)  หรือ ROJNA รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 891.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 853.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 93.47 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 195.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 70.02 ล้านบาท  และรายได้ขายไฟฟ้าไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 2.69 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2.54 พันล้านบาท และมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ทางการเงินอยู่ที่ 453.97 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน)  หรือ AMATAV รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 80.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.66% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 36.52 ล้านบาท โดยรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจำนวน 129.94 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.37 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการให้เช่า และ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น

 

อันดับ 4 บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 156.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.35% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 90.48 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,134.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.2% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 674.4 ล้านบา

ด้านนายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASW กล่าวว่า ปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายจะมีรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 4/2564 น่าจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว และกำลังซื้อที่อยู่อาศัย มีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง สอดรับกับนโยบายของรัฐทั้งการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 และมาตรการผ่อนคลาย LTV ออกไปถึงปี 2565 และอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยอดขายสามารถเติบโต

ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทยังมีห้องสร้างเสร็จพร้อมโอนจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท จากโครงการในทำเลต่างๆ ซึ่งมีหลากหลายในทุกกลุ่มสินค้า นำโดยแบรนด์โมดิซ (Modiz) แบรนด์แอทโมซ (Atmoz) และโครงการแบรนด์เคฟ (Kave) ซึ่งพร้อมรับอานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลาย LTV  และนอกจากนั้นบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่าประมาณ 7,681 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2566

สำหรับในไตรมาส 4/2564 บริษัทคาดว่าจะเปิดอีก 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวสูง 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ แอทโมซ ศรีราชา ในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา โครงการ เคฟ เอวา ในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ คือ Puripuri Home office จะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายรอโอนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีรายได้รองรับในระยะยาว ผลักดันการเติบโตได้สม่ำเสมอ

ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2565 ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการตรียมความพร้อม เบื้องต้นคาดว่าจะเปิด 8 โครงการ และยังมุ่งเร่งก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายจำนวน  6 โครงการ มูลค่า 6,638  ล้านบาท เพื่อรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ โมดิซ ลอนซ์ มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท มียอดขาย 100% โครงการ ไอเวอรี่ รัชดา มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท โครงการ โมดิซ คอลเลคชั่น บางโพ มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท และโครงการ เคฟ เอวา มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งหาความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆ และการใช้นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจ เช่น ธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม โดยการจัดตั้งบริษัท WHB การนำคริปโตเคอร์เรนซี่ เพื่อในการชำระค่าห้อง หรือการจัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขยายและสร้างผลกำไรแก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 5 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI  รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 1,719.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.35% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,216.57 ล้านบาท

โดยบริษัทมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ เท่ากับ 7,377.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,553.48 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 27% แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิบ้านและทาวน์เฮ้าส์ 47% และที่เหลือ 53% เป็น รายได้จากการโอนกรรมสิทธิอาคารชุด โดยรายได้เพิ่มขึ้นจากการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด จำนวน 2 โครงการในช่วงปลายไตรมาส 2 ปี 2564 และยังคงโอนต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 2564 รวมทั้งยังมีโครงการครบกำหนดโอนในไตรมาส 3 อีก 1 โครงการ

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า SPALI มียอดจองรอโอนไตรมาส 4/64 และปี 2565 ราว 9.7 พันล้านบาท และ 14 พันล้านบาท พิจารณาจากยอดโอน 9 เดือนแรกที่ 18 พันล้านบาท และการคาดหมายยอดจองที่ดีขึ้นในปีหน้า โดยทางฝ่ายคาดกำไรเติบโตต่อเนื่องไปถึงปีหน้า P/E ล่าสุดแค่ 7- 8 เท่า และยีลด์ระดับ 6-7% พร้อมปรับเป็น “ซื้อ” ปรับไปใช้ราคาพื้นฐาน 25 บาท

ด้านหุ้นที่พลิกมีกำไรไตรมาส 3/2564 โดดเด่น ประกอบด้วย AWC,PF,CI,NCH และ WIN และมีลุ้นผลงานปี 2564 กลับมา “เทิร์นอะราวด์” และโตต่อเนื่องในปีหน้า

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button