“ทรงกลด” เคาะ 5 หุ้น “เทิร์นอะราวด์” ชู AOT-MINT ท็อปพิค จับตาผลงานปี 65 ฟื้นแกร่ง

"ทรงกลด วงศ์ไชย" คัด 5 หุ้นเด่น จับตาผลงานปี 65 "เทิร์นอะราวด์" หลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย - ้ปิดเมืองหนุน ชู AOT-MINT ท็อปพิค


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปี 2565 จะเป็นปีของการฟื้นตัว ซึ่งประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่จะเห็นการเติบโตของ GDP ที่สูงกว่าคาด จากอุตสาหกรรมการส่งออกที่แข็งแกร่ง และการเติบโตทั้งด้านการลงทุน (ภาครัฐ และเอกชน) และการบริโภคและจับจ่ายในประเทศหลังการระบาดของโควิด-19

พร้อมด้วยอัตราการหมุนเวียนของเงินอยู่ที่ 0.68 เท่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 จากระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ และการกระจายวัคซีนทั่วประเทศเพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ

ทั้งนี้ด้วยการเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก และการท่องเที่ยว FSSIA จึงคาดว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเปิดเมือง และเปิดประเทศ และการฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/64 ต่อเนื่องไปถึงปี 2565

โดยปี 2565 มองเป้า SET Index ที่ 1,892 จุด และ P/E อยู่ที่ 17.2 เท่า โดยคงมุมมอง Overweight ต่อตลาดหุ้นไทย คาดว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งราวด้วยการเติบโตของ GDP ราว 3-4% และนโยบายการเงินจะเป็นปัจจัยผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 23.4% นำโดยกลุ่มพาณิชย์ (+8.5%), F&B (+7%), สาธารณูปโภค (+3.7%), สื่อและสิ่งพิมพ์ (+2.6%), อสังหาริมทรัพย์ (+2.1%), ICE (+1.5%), พลังงาน (+1.4%), ไฟแนนซ์ (+1.2%) และ ธนาคาร (+1.1%) นอกจากนั้นแล้วยังมองว่ากำไรของกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ และกลุ่มท่องเที่ยวจะรีบาวน์อย่างเห็นได้ชัด แต่จะยังคงอยู่ในพื้นที่สีแดง

ทั้งนี้ FSSIA มองหุ้นที่จะได้รับประโยชน์หลังวิกฤตโควิด-19 ประกอบด้วย

AOT ราคาเป้าหมาย 79 บาท

โดยกุญแจหลักสำหรับการเทิร์นอะราวด์ของ AOT มาจากรายได้สัญญาสัมปานใหม่จาก King Power ก่อนหน้านี้ AOT ประกาศปรับลดค่าผลประโยชน์ตอบแทน และอื่นๆ จนถึงมีนาคม 2565 ดังนั้น AOT จะมีรายได้จากสัมปทานที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เมษายน 2565 เป็นต้นไป ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวคาดจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และแตะระดับก่อนโควิดในปี 2567 แต่รายได้จากสัมปทานคาดว่าจะแตะระดับก่อนโควิดในปี 2566 ในกลุ่มท่องเที่ยวฝ่ายวิเคราะห์มองว่า AOT จะเป็นหุ้นตัวแรกที่กำไรจะสูงกว่าระดับก่อนช่วงโควิด

 

MINT ราคาเป้าหมาย 42 บาท

โดยมองว่า MINT มีโอกาสจะเทิร์นอะราวด์ในไตรมาส 2/65 และกำไรจะแตะระดับก่อนโควิดในภายในปี 2566 พร้อมกับอัพไซด์จากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นจากการลดต้นทุนลงตั้งแต่เกิดโควิด นอกจากนั้นยังคลายความกังวลเรื่องงบดุลตั้งแต่กระแสเงินสดอิสระกลับมาเป็นบวกตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน และยังมีเงินสดอยู่ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนวงเงินกู้ยืมระยะสั้นสูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท นอกจากนั้นแล้ว หุ้นของ MINT ยังคงซื้อขายด้วยมูลค่าที่น่าดึงดูดที่ P/E ปี 2566 ที่ระดับ 27 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 32 เท่า

 

HMPRO ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท

โดยมองว่าปี 2565 กำไรของทั้งกลุ่มจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง 66% จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการเปิดเมืองของกลุ่มท่องเที่ยว กำไรของทั้งกลุ่มคาดว่าจะกลับคืนมาอยู่ระดับก่อนโควิดที่ 6 หมื่นล้านบาท สนับสนุนโดยการเปิดสาขาใหม่ และการทำกำไรเพิ่มแม้ท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมาสู่ปกติ

 

AMATA ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท

โดยเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการกลับมาของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ทั้งไทย และเวียดนาม หลังผ่อนคลายมาตรการการท่องเที่ยว คาดกำไร AMATA จะปรับตัวสูงขึ้น 44% แตะ 1.5 พันล้านบาท ในปี 2565 จาก 1) ยอดขายที่ดินที่ฟื้นตัวในไทยแตะ 600-700 ไร่ ซึ่งเป็นระดับก่อนโควิด 2) ดีมานด์ที่แข็งแกร่งสำหรับที่ดินในเวียดนามหลังผ่อนคลายล็อคดาวน์ในไตรมาส 4/64 ทั้งนี้คาดว่า AMATA อาจทำกำไรนิวไฮได้ในปีหน้า

 

BA ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท

โดยเชื่อว่า BA จะเริ่มได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจสนามบินตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป จากการ consolidated กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย (SPF) ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้ค่าบริการ และค่าลงจอดได้เต็มจำนวน จากเดิมที่รับรู้ราว 30%

Back to top button