FSSIA คัด 8 หุ้นธีม “ซินเนอร์ยี่-ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน” ชู JMT-SCB-GULF เด่นสุด
“เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ FSSIA คัด 8 หุ้นธีม “ซินเนอร์ยี่-ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน” ชู JMT-SCB-GULF เด่นสุด ลุ้นผลงานเติบโตแข็งแกร่ง
นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำกลยุทธ์ในการลงทุนในปี 2565 หลังมองว่าจะเป็นปีของการฟื้นตัว มองเป้า SET Index ที่ 1,892 จุด และ P/E ที่ 17.2 เท่า
โดยคงมุมมอง Overweight ต่อตลาดหุ้นไทย คาดว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งราวด้วยการเติบโตของ GDP ราว 3-4% และนโยบายการเงินจะเป็นปัจจัยผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรที่แข็งแกร่ง
สำหรับตีมการลงทุนในปี 2565 จะหมุนไปตามการเติบโตของบริษัท และเศรษฐกิจ ประกอบด้วยกลุ่มบูรณาการผ่านการซินเนอร์ยี่ และกลุ่มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ส่วนกลุ่มหุ้นที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565-66 ประกอบด้วย
JMT ราคาเป้าหมาย 70 บาท
โดย JMT ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นท็อปพิกของ FSSIA ในกลุ่มบริษัท diversified financial โดยให้ราคาเป้าหมาย (GGM-based) ไว้ที่ 70 บาท มองว่าราคาหุ้นยังมีที่ว่างให้เติบโตอยู่ผลักดันโดย 1) กำไรปี 2565 ที่จะเพิ่มขึ้น 69% (EPS +30%) 2) ความผันผวนของกำไรต่ำ 3) การบริหารหนี้เสียที่มีประสิทธิภาพ และมองว่า JMT เป็นหุ้นที่น่าลงทุนในจังหวะที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลงเพราะมีพอร์ตสินเชื่อไม่มีหลักประกัน และจะยังคงเติบโตตามเศรษฐกิจด้วยพอร์ตสินเชื่อแบบมีหลักประกัน
BTS ราคาเป้าหมาย 11 บาท
โดยหลังประกาศเป็นพันธมิตรกับ JMART ด้วยการส่ง VGI และ U เข้าถือหุ้นเพิ่มทุนจะช่วยให้ BTS สามารถขยายระบบนิเวศน์ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจบริการขายปลีกผ่าน J Mobile และ SINGER นอกจากนั้นยังมีธุรกิจคริปโต และบล็อกเชนจาก J Ventures ซึ่งการจับมือกับ JMART นี้จะสามารถสร้างโอกาสจากธุรกิจระหว่างทั้งสองกลุ่มได้อีกมาก และเป็นวิน-วินด้วยกันทั้งสองฝ่าย
SCB ราคาเป้าหมาย 160 บาท
ทั้งนี้ FSSIA ชอบกลยุทธ์ของ SCB ที่สามารถแยกตัวออกจากการทำธุรกิจแบบเดิมๆ โดยมองเห็นความเป็นไปได้ถึงผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ 4 อย่าง คือ 1) ความยืดหยุ่น และเอกเทศน์ 2) ข้อผูกมัดจาก BOT ลดลง 3) ไขก๊อกมูลค่าของบริษัทลูก และ 4) ได้ประโยชน์จากการสปินออฟบริษัทลูก ซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยนี้จะช่วยเสริมมูลค่าในระยะยาว รวมถึงการจ่ายปันผล และ ROE
KBANK ราคาเป้าหมาย 172 บาท
โดยเชื่อว่าธุรกิจของ KBANK ดำเนินไปในทางเดียวกับ SCB เนื่องจาก 1) KBANK เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม และเทคโนโลยี ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นธนาคารที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากยุคดิจิทัลในประเทศไทย และ 2) มีสินเชื่อบุคคลเป็นท็อป 3 ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง และมีผลตอบแทนที่น่าดึงดูด แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น จึงทำให้นักลงทุนมักจะให้ค่าพรีเมียมกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ
BGRIM ราคาเป้าหมาย 58 บาท
โดยคาดว่า BGRIM จะมีผลกำไรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2565-66 จาก 1) SPP ใหม่ 5 แห่ง 0.7MW 2) ต้นทุนค่าก๊าซที่ถูกลง USD1/mmbtu จากการนำเข้าก๊าซ LNG 0.65mt และ 3) มีโครงการหลายแห่งที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้ง organic และ inorganic
IVL ราคาเป้าหมาย 62 บาท
โดย FSSIA คาดกำไร IVL ช่วงไตรมาส 4/64 – ปี 2565 ว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์ และอัตราการใช้กำลังการผลิตสำหรับ IOD, PET-PTA และกลุ่มไฟเบอร์ จากมาร์จิ้น MTBE และ MEG ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักได้แก่ 1) มาร์จิ้น PET-PTA ที่แข็งแกร่งจากยอดส่งออกจีนที่ลดลงสลับกับดีมานด์ที่โตขึ้น 2) มาร์จิ้นโพลีเอสเตอร์ไฟเบอร์ที่ฟื้นตัว 3) อีเทนแครกเกอร์ที่เริ่มดำเนินการในเดือน พ.ย. 2564
GULF ราคาเป้าหมาย 56 บาท
โดย FSSIA คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานหลักของ GULF ในไตรมาส 4/64 จะโตแตะ 2 พันล้านบาท ผลักดันโดย 1) กำไรจาก BKR2 และ GSRC 2) กำไรที่สูงขึ้นจาก SPP และ IPP จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นหลังเปิดประเทศ 3) ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH นอกจากนั้นการ COD Gulf SRC ยูนิตที่สองเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจะทำให้ Gulf SRC มีกำลังผลิตอยู่ที่ 1.32GW และในปี 2565-67 GULF จะยังมี IPP อีก 6 ยูนิตที่มีกำลังผลิต 662.5MW ต่อยูนิต ที่จะ COD ซึ่งจะทำให้ GULF กลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในไทยภายในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตทั้งหมด 5.3GW และบริษัทจะยังสามารถนำเข้าก๊าซ LNG มาใช้ในโรงไฟฟ้าของตัวเองจากการถือสัดส่วนในมาบตาพุด เฟส 3 อยู่ 70%
EA ราคาเป้าหมาย 88 บาท
โดย FSSIA มองว่าการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป และจะดันกำไรปี 2565 โต 19% และกำไรปี 2566 โต 14% จากการเติบโตของโครงการสตาร์ทอัพ S-curve หลายโครงการ ซึ่งรวมถึงการส่งมอบรถบัส EV 200-300 คันในไตรมาส 4/64 และโรงงานแบตเตอรี่ 1GWh เฟสแรกในเดือนนี้ นอกจากนั้นยังจะมีการส่งมอบรถบัส EV อีก 2,000-3,000 ในปี 2565 และการสร้างสถานีชาร์จรถ EV