“ศูนย์วิจัยกสิกร” คาด GDP ปี 65 ฟื้นตัว 3.7% มอง “โอไมครอน” ชี้ชะตาศก.ไทย
“ศูนย์วิจัยกสิกร” คาดการณ์ GDP ไทยปี 2565 จะฟื้นตัว 2.8-3.7% โดยมีปัจจัยสำคัญอย่างเชื้อโควิดสายพันธุ์ โอไมครอน ที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะฟื้นตัวมาเติบโตได้ในกรอบ 2.8-3.7% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าให้กลับมามีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับอัตราการแพร่เชื้อ และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้อยู่ว่าจะสามารถต้านทานการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนได้หรือไม่ แต่จากการที่หลายประเทศเริ่มคุมเข้มการเดินทาง ก็อาจทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 65 โดยเฉพาะในไตรมาสแรกได้รับผลกระทบ
พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 65 จะอยู่ในกรอบ 1.6-2.1% ด้านอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าเงินบาทจะอยู่ในกรอบ 33.25-34.25 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 65
ส่วนของการท่องเที่ยวคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย ในกรณีที่ไวรัสโอไมครอนไม่รุนแรง คาดจะอยู่ที่ราว 4 ล้านคน คิดเป็นรายได้ 3 แสนล้านบาท แต่หากเป็นกรณีที่ไวรัสโอไมครอนมีความรุนแรง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยจะอยู่ที่ราว 2 ล้านคน คิดเป็นรายได้ 1.5 แสนล้านบาท
ด้านนางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ภายใต้มาตรการการเดินทางและสุขอนามัยต่างๆ ที่คุมเข้มมากขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงการปิดประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าทั่วโลกมีความกังวลต่อความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แม้จะยังไม่มีผลการศึกษาที่แน่ชัด
ทั้งนี้ ในการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโอไมครอนนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการแพร่เชื้อ ประสิทธิภาพของวัคซีน และความรุนแรงของโรค ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี ภายใต้สมมติฐานที่การแพร่ะบาดของสายพันธุ์โอไมครอนจะบรรเทาลงในปลายไตรมาส 1/65 นอกจากนี้ รัฐบาลไทยคาดว่าจะไม่มีการกู้เงินนอกงบประมาณเพิ่มเติม โดยให้ใช้วงเงิน 2.6 แสนล้านบาทที่คงเหลือจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท
โดยในกรณีที่ดีนั้น แม้ไวรัสจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แต่หากความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา และวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดหรือจำกัดระดับความรุนแรงของอาการป่วยได้ ไทยก็อาจไม่จำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์ ดังนั้น เศรษฐกิจทั้งปี 65 ก็ยังน่าจะสามารถฟื้นตัวได้ที่ 3.7% โดยยังจะได้รับแรงหนุนจากการส่งออก การฟื้นตัวของการใช้จ่ายครัวเรือน รวมถึงการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งภายใต้กรณีนี้แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ
ส่วนกรณีแย่ หากสายพันธุ์โอไมครอนมีความรุนแรงเทียบเท่ากับสายพันธุ์เดลตา และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อความจำเป็นต้องมีการนำมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศมาใช้ อาทิ ปิดประเทศ รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศตามระดับความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 65 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 2.8%
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สมมติฐานในกรณีแย่ สถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมก็ยังดีกว่าช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาที่เริ่มในช่วงเดือนเม.ย. 64
ด้านนางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดท่องเที่ยวไทยว่า ในกรณีดีนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 65 น่าจะฟื้นตัวมาแตะ 4 ล้านคน จากปีนี้ประมาณ 3.5 แสนคน แต่สำหรับกรณีแย่ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเหลือประมาณ 2 ล้านคน เพราะการท่องเที่ยวจะขาดช่วงไป 2-3 เดือน จากการที่ประเทศต่างๆ รวมถึงไทย จำเป็นต้องยกระดับการควบคุมการเดินทาง
“จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปทุกๆ 1 ล้านคน จะกระทบรายได้จากการท่องเที่ยวราว 7-8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในทั้ง 2 กรณี ก็ยังถือว่าห่างไกลจากช่วงก่อนโควิดมาก” นางสาวเกวลิน กล่าว
สำหรับแนวโน้มภาคการเงินนั้น นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ในกรณีดีที่ผลกระทบจากไวรัสโอไมครอนจำกัด ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังน่าจะทยอยลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินตามแผน ซึ่งตลาดประเมินโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปี 65 ไว้ 2-3 ครั้ง ซึ่งจะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ สูงกว่าไทยในช่วงปลายปี และย่อมจะเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.25-34.25 บาท/ดอลลาร์ฯ
ขณะที่ในกรณีแย่ การระบาดของไวรัสโอไมครอนจะกระทบรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศนาน 2-3 เดือน ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังคงอ่อนแอ ซึ่งทำให้เงินบาทในช่วงครึ่งปีแรกขาดปัจจัยหนุน และอ่อนค่ากว่ากรณีแรก โดยมีโอกาสอ่อนค่าหลุด 34.25 บาท/ดอลลาร์ฯ ได้
นางสาวธัญญลักษณ์กล่าวว่า ธุรกิจควรรับมือกับภาวะที่เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบกว้าง ดังในช่วงระหว่างปี 64 ที่เงินบาทมีกรอบการเคลื่อนไหว (ระดับอ่อนค่าสุด-ระดับแข็งค่าสุด) กว้างถึง 4 บาทกว่า เทียบกับปี 63 ที่กรอบประมาณ 3.40 บาท ขณะที่ แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังไม่ปรับขึ้นในปี 2565 แต่แนวโน้มต้นทุนการกู้ยืมในตลาดตราสารหนี้ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ และนักลงทุนรายย่อยไทยคงจะยังแสวงหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง (Search for Yield)
“ภาคธุรกิจต้องมีการเตรียมตัวรองรับไว้ เพราะต้นทุนการเงินมีโอกาสขยับขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเน้นการทำต้นทุนให้บางลง ทั้งต้นทุนวัตถุดิบ และต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนที่มีอยู่” นางสาวธัญญลักษณ์ กล่าว
สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยปี 65 นั้น เป็นอีกปีที่คงขับเคลื่อนด้วยความระมัดระวัง เพราะสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยมองสินเชื่อขยายตัวในกรอบคาดการณ์ 4.0-5.5% ชะลอลงจากปี 64 ที่สินเชื่อขยายตัว 6% ซึ่งดีกว่าคาด เพราะธุรกิจสะสมสภาพคล่อง และมีผลของมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน
ขณะที่ NPL ยังเป็นขาขึ้นเข้าหาระดับประมาณ 3.30% ต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 65 เทียบกับราว 3.20% ณ สิ้นปี 64 ซึ่งแม้จะถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มาก เพราะยังมีอานิสงส์ของการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ แต่ธนาคารพาณิชย์คงไม่ได้ผ่อนระดับการตั้งสำรองฯ ลงมากนัก ซึ่งมีส่วนทำให้ระดับความสามารถในการทำกำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 65 ยังไม่เข้าใกล้ระดับก่อนวิกฤติโควิด