“ดาวโจนส์ฟิวเจอร์” พุ่งกว่า 300 จุด คลายกังวล “โอมิครอน”
“ดาวโจนส์ฟิวเจอร์” พุ่งกว่า 300 จุด คลายกังวล "โอมิครอน" หลังไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะดีดตัวขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะดีดตัวขึ้นในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
โดย ณ เวลา 18.55 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 360 จุด หรือ 1.02% สู่ระดับ 35,573 จุด
ส่วนดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 600 จุดเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หลังจากนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสโอมิครอนก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มอุตสาหกรรม
ด้าน เจพีมอร์แกน เชส ออกรายงานแนะนำให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเปิดประเทศและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยระบุว่า แม้ว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีต และเป็นการส่งสัญญาณว่าการแพร่ระบาดใกล้ยุติแล้ว ซึ่งจะทำให้โควิด-19 กลายเป็นเพียงโรคที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น
ขณะที่ แบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่า สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นร้อนแรงมากที่สุดของปี
โดยข้อมูลระบุว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 2.3% ในเดือนธ.ค.นับตั้งแต่ปี 2479 และดัชนีปรับตัวเป็นบวกในเดือนธ.ค.คิดเป็นสัดส่วน 79% นับตั้งแต่ปีดังกล่าว
สำหรับการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในเดือนธ.ค.ได้รับปัจจัยบวกจากปรากฎการณ์ “ซานต้า แรลลี่” ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค.
ส่วน นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
อีกทั้ง นายพาวเวลกล่าวว่า เฟดอาจปรับลดวงเงิน QE มากกว่าเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฟดจะมีการหารือกันในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนนี้
พร้อมด้วย โกลด์แมน แซคส์ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะเพิ่มการปรับลดวงเงิน QE เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563