SUPER คว้างาน 350 ลบ. ติดตั้ง “โซลาร์รูฟท็อป” ม.มหิดล กำลังผลิต 14 MW
SUPER คว้างาน 350 ลบ. ติดตั้ง “โซลาร์รูฟท็อป” ม.มหิดล กำลังผลิต 14 MW คาดติดตั้งแล้วเสร็จภายในปี 2565 เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนค่าไฟได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมเดินหน้าขายไฟฟ้าแบบ Private PPA เต็มกำลัง สนับสนุนรายได้เติบโตต่อเนื่อง
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า บริษัท เอสพีพี ซิค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ซุปเปอร์ โซล่าร์ เอนเนอร์ยี จำกัด และเป็นบริษัทย่อยของ SUPER ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือโครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ กับมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เพื่อดำเนินการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ในรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Private PPA เพื่อขายไฟฟ้าให้กับ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา โดยการใช้ประโยชน์พื้นที่หลังคาอาคารต่างๆ ของมหาวิทยาลัย มูลค่าโครงการรวม 350 ล้านบาท และมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 14 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 12 เมกะวัตต์ คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในปี 2565 ระยะเวลาขายไฟฟ้าตามสัญญาทั้งหมด 13 ปี 6 เดือน
สำหรับการออกแบบติดตั้งในครั้งนี้ถือเป็นการนำนวัตกรรมการออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่ทันสมัย ที่มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงสุด (Power Optimizer) อีกทั้งการนำระบบบริหารจัดการ โดยเครือข่ายอัจฉริยะที่สามารถควบคุม สั่งการ และเฝ้าติดตามระบบแบบออนไลน์จากศูนย์ควบคุม ซึ่งใช้ระบบเครือข่ายสื่อสารแบบไร้สายที่สามารถส่งข้อมูลทางไกลได้ (LoRa-Wan) โดยการใช้สัญญาณวิทยุ ซึ่งเหมาะกับการใช้การงานในมหาวิทยาลัยที่มีพื้นครอบคลุมเป็นวงกว้าง รวมถึงการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อกักเก็บไฟฟ้าส่วนเกิน หรือ สามารถบริหารการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์โดยจะทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลฯ จะสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้การที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มุ่งมั่นในการดำเนินการโครงการนี้ถือเป็นการแสดงเจตนารมย์ที่เป็นรูปธรรมของมหาวิทยาลัยใน “การมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2573” หรือ “ก้าวสู่ศูนย์” เพราะการผลิตไฟฟ้าของระบบผลิตไฟฟ้าจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา จะเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้า จึงนับเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“การลงนามในครั้งนี้เป็นการแสดงเจตนารมย์ที่เป็นรูปธรรม ที่จะมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน โดยการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้า จึงนับเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันช่วยสร้างรายได้ และ PPA นอกเหนือรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฯ และพลังงานลมที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุนของบริษัทฯ ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังมองหาโอกาสในการขยายการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวไปยังที่อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อสร้างรายได้เพิ่มอย่างต่อเนื่อง” นายจอมทรัพย์ กล่าว
ด้านศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกล้วนประสบกับผลกระทบอันรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นานาประเทศให้ความสนใจในการร่วมแก้ปัญหา โดยได้มีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ เพื่อบรรลุข้อตกลงและป้องกันภัยพิบัติร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ณ ปัจจุบันได้มีการจัดงานประชุมนี้ขึ้นมาแล้ว 26 ครั้ง (COP1-COP26) ซึ่งยังคงยึดตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) คือ ที่มุ่งเป้าสู่การบรรลุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Emission) ให้ได้ภายในปี 2050 เพื่อรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปัญหาดังกล่าว จึงกำหนดนโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี พ.ศ.2573 โดยใช้แผน “9 to Zero” หรือ “ก้าวสู่ศูนย์” จึงเป็นแผนของมหาวิทยาลัยมหิดลที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัยสุทธิเป็นศูนย์ภายใน 9 ปี โดยมีการตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกเป็น 3 ระยะ คือ ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 65 % ในปี 2567, ระยะที่ 2 ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 85% ในปี 2570 และระยะที่ 3 ลดก๊าซเรือนกระจกได้ 100% ภายในปี 2573
อย่างไรก็ตามที่มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกในระยะที่ 1 ด้วยหลักการก้าวที่ 1 คือ การใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) โดยการจัดทำสัญญาความร่วมมือของโครงการการใช้พลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยมหิดล กับบริษัท เอส พีพี ซิค จำกัด ที่จะติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ขนาด 14 เมกกะวัตต์ ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ปริมาณ 10,487 ตันต่อปี คิดเป็น 21% และในอนาคตมหาวิทยาลัยได้เตรียมแผนขยายพื้นที่การติดตั้ง Solar Rooftop ไปยังวิทยาเขตอื่นๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ที่ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อีกทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 13 การปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น (Climate Action)