“หุ้นเอเชีย” เปิดลบ! หลังดาวโจนส์ปิดร่วง 300 จุด ผวาอังกฤษพบผู้เสียชีวิตจาก “โอมิครอน”
“หุ้นเอเชีย” เปิดลบ! รับแรงกดดันดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ จากนลท.วิตกไวรัสโอมิครอนฉุดเศรษฐกิจ หลังอังกฤษยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากไวรัสโอมิครอนรายแรกในประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผันผวนวันนี้ โดยถูกกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.2564) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยล่าสุดอังกฤษยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากไวรัสโอมิครอนรายแรกในประเทศ และเตือนว่าอังกฤษกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ของไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าว
โดยดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 28,554.86 จุด ลดลง 85.63 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,693.73 จุด ลดลง 260.85 จุด หรือ -1.09% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,669.81 จุด ลดลง 11.27 จุด หรือ -0.31%
ทั้งนี้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษยืนยันว่า พบผู้เสียชีวิตจากไวรัสโอมิครอนรายแรกในประเทศ พร้อมกับเตือนด้วยว่า อังกฤษกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ของไวรัสโอมิครอน และวัคซีน 2 โดสไม่เพียงพอที่จะควบคุมไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าว โดยการแสดงความเห็นของนายจอห์นสันมีขึ้นหลังจากทีมนักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษประกาศยกระดับการเตือนภัยโควิด-19 สู่ระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับ
ด้านมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดของอังกฤษออกรายงานระบุว่า การฉีดวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็ม อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโอมิครอน โดยรายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของอังกฤษ (HSA) ที่พบว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็มให้ประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันอาการของโรคโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอน เมื่อเทียบกับการป้องกันสายพันธุ์เดลตา
ขณะที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ประกาศลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาของเอเชียในปีนี้และปีหน้า เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่มีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยปรับลดคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาลงสู่ระดับ 7% ในปี 2564 จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 7.1% และปรับลดคาดการณ์ GDP ในปี 2565 ลงสู่ระดับ 5.3% จากระดับ 5.4%
ส่วนนักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า รวมถึงการปรับลดอัตราการซื้อพันธบัตร โดยโกลด์แมน แซคส์ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะเพิ่มการปรับลดวงเงิน QE เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563